ทองแดงการใช้งาน และ แนวโน้มการใช้งานกับราคาในอนาคต

ทองแดง การใช้งาน
ทองแดง (Copper) มีการใช้งานหลากหลายมาก เน้นที่การนำไฟฟ้าและความร้อนได้ดีเยี่ยม เช่น สายไฟ, สายเคเบิล, มอเตอร์, หม้อแปลง และ แผงวงจร รวมถึงใช้ในระบบประปาและ HVAC (ท่อทองแดง), ก่อสร้าง (หลังคา, รางน้ำ), เครื่องประดับ, เหรียญ, และเครื่องจักรกลอุตสาหกรรม (วาล์ว, แบริ่ง, หม้อน้ำ) เพราะทนทานและไม่เป็นสนิมง่าย.
การใช้งานหลัก (Key Applications)
งานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Electrical & Electronics):Wire & Cable: ใช้ทำสายไฟ สายส่งกำลัง (Power Transmission Lines) และสายโทรศัพท์ เพราะนำไฟฟ้าได้ดีมาก.
Motors & Generators: ขดลวดในมอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า.
Transformers: ขดลวดในหม้อแปลงไฟฟ้า.
Circuit Boards (PCBs): แผงวงจรพิมพ์.
ระบบประปาและทำความเย็น (Plumbing & HVAC):Pipes & Tubes: ท่อส่งน้ำดื่ม, ท่อน้ำร้อน, และท่อสำหรับระบบปรับอากาศ (Air Conditioning).
Heat Exchangers: ตัวแลกเปลี่ยนความร้อนในระบบ HVAC และอุตสาหกรรม.
การก่อสร้างและสถาปัตยกรรม (Construction & Architecture):Roofing & Gutters: มุงหลังคา, รางน้ำฝน.
Decorative Elements: องค์ประกอบตกแต่งอาคารและลูกบิด.
อุตสาหกรรมและเครื่องจักร (Industrial & Machinery):Alloys: ผสมเป็นโลหะผสม เช่น ทองเหลือง (Brass), สำริด (Bronze) เพื่อทำวาล์ว, ปั๊ม, แบริ่ง, บุชชิ่ง (Bushings).
Robotics: มอเตอร์, เซ็นเซอร์, สายไฟในหุ่นยนต์.
ของใช้ส่วนตัวและศิลปะ (Personal Items & Art):Jewelry & Coins: เครื่องประดับ, เหรียญกษาปณ์.
Sculptures: ประติมากรรม (เช่นเทพีเสรีภาพ).
คุณสมบัติสำคัญ (Key Properties)
Electrical Conductivity: การนำไฟฟ้าดีเยี่ยม (อันดับสองรองจากเงิน).
Thermal Conductivity: การนำความร้อนได้ดี.
Corrosion Resistance: ทนทานต่อการกัดกร่อน.
Malleability & Ductility: อ่อนตัวและดึงเป็นเส้นได้ง่าย.
ทิศทางการใช้งานทองแดงในอนาคต
ทิศทางการใช้งานทองแดงในอนาคตจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในภาคส่วนพลังงานสะอาด (รถยนต์ไฟฟ้า, พลังงานแสงอาทิตย์, กังหันลม), เทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Cities), และระบบส่งกำลังไฟฟ้า เนื่องจากเป็นตัวนำไฟฟ้าชั้นเยี่ยม ทนทานต่อการกัดกร่อน และจำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ทำให้ความต้องการสูงขึ้นมาก และเป็นโลหะเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ.
1. การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด (Green Energy Transition):
รถยนต์ไฟฟ้า (EVs): รถยนต์ไฟฟ้าใช้ทองแดงมากกว่ารถยนต์ทั่วไป 4-5 เท่า โดยเฉพาะในมอเตอร์ แบตเตอรี่ และระบบสายไฟ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการที่สำคัญที่สุด.
พลังงานหมุนเวียน: ใช้ในแผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม และระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อส่งพลังงานจากแหล่งผลิตไปยังผู้ใช้.
ระบบกักเก็บพลังงาน: ทองแดงเป็นส่วนประกอบสำคัญในแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน.
2. เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน:
เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) & อาคารสีเขียว (Green Buildings): ทองแดงถูกใช้ในระบบไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยเหล่านี้.
ระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: ยังคงเป็นหัวใจหลักในการผลิตสายไฟ มอเตอร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด เนื่องจากคุณสมบัติการนำไฟฟ้าที่ดีเยี่ยมและทนทานต่อความร้อน.
3. อุตสาหกรรมเฉพาะทาง:
การแพทย์: ใช้ในอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ.
การบินและอวกาศ: ใช้ในสายควบคุมและระบบกำลังไฟฟ้าของเครื่องบิน.
การทหาร: ใช้ในเรดาร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และจรวด.
แนวโน้มโดยรวม:
ความต้องการเพิ่มขึ้น: ความต้องการทองแดงคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2035 เนื่องจากเทคโนโลยีสีเขียว.
สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์: ทองแดงเปลี่ยนจากสินค้าโภคภัณฑ์มาเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเชิงกลยุทธ์สำหรับอนาคต.
บทบาทที่ขาดไม่ได้: แม้จะมีความท้าทายด้านอุปทาน แต่ทองแดงยังคงเป็นวัสดุที่สำคัญและไม่สามารถทดแทนได้ในหลายด้าน.
สรุปคือ ทองแดงกำลังขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืน และบทบาทจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทุกมิติของเทคโนโลยีและพลังงานในทศวรรษหน้า
คาดการณ์ราคาทองแดง ปี 2026 -2030
คาดการณ์ราคาทองแดง 2026-2030: เจาะลึกเทรนด์
ทองแดง กำลังถูกขนานนามว่าเป็น น้ำมันชนิดใหม่ ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและ AI นี่คือสถานการณ์ที่กำลังสร้างแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวให้กับ ราคาทองแดงในตลาดโลก
วิเคราะห์สถานการณ์ราคาทองแดงปัจจุบัน
กราฟราคาทองแดงแบบเรียลไทม์
ข้อมูลล่าสุด 19 Dec 2025 ราคาทองแดงมีการซื้อขายอยู่ที่ประมาณ11,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 18% ในบางช่วงมีความผันผวนสูง ซึ่งสะท้อนถึงแรงขับเคลื่อนที่ซับซ้อนในตลาด ในขณะเดียวกันราคาก็ยังสวิงขึ้นกลับสูงกว่าเดิมทุกครั้งในช่วงที่มีความผันผวน และ สร้างราคา new high อยู่ตลอดในช่วงหลังๆ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเผยให้เห็นว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงของการสะสมพลัง (Consolidation) ซึ่งเป็นภาวะที่ราคามีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ สะท้อนถึงความไม่แน่ใจของนักลงทุนระหว่างปัจจัยบวกในระยะยาวและปัจจัยลบในระยะสั้น ภาวะเช่นนี้มักเกิดขึ้นก่อนที่ราคาจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าอยู่ในช่วงตลาดขาขึ้น
แนวโน้มและกรอบราคา: ในภาพระยะสั้นถึงกลาง ราคาทองแดงกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวโน้มขาขึ้น โดยมีแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ราคากำลังเข้าสู่แนวต้าน ซึ่งมีต่อจับตาว่าราคาจะสามารถผ่านขึ้นไปได้หรือไม่ แนวต้านล่าสุด 12,000USD/ตัน ซึ่งน่าจะทะลุผ่านได้ไม่ยาก โดยกรอบรับระยะสั้นอยู่ที่ 10,000 USD/MT ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายออกมาสกัดกั้นการปรับตัวขึ้นของราคา จุดสำคัญอยู่ที่บริเวณ 12,000 ซึ่งเป็นแนวต้านล่าสุดในปี 2025 การที่ราคาสามารถทะลุผ่านแนวต้านเหล่านี้ขึ้นไปได้อย่างแข็งแกร่ง จะเป็นสัญญาณยืนยันการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่ ช่วงต้นปี 2026 สัญญาณจากอินดิเคเตอร์: เครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคอย่าง Relative Strength Index (RSI) เข้าใกล้ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) สอดคล้องกับสัญญาณของการทดสอบแนวต้านสำคัญ
ภาพรวมทางเทคนิคนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดในตลาดได้อย่างชัดเจน มุมมองที่ระมัดระวังในระยะสั้นของสถาบันการเงินอย่าง J.P. Morgan ที่กังวลผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีและการระบายสต็อกสินค้าคงคลัง กำลังต่อสู้กับมุมมองเชิงบวกในระยะยาวของ Goldman Sachs และ Citi ที่มองเห็นภาวะขาดดุลเชิงโครงสร้าง สถานการณ์เช่นนี้บ่งชี้ว่าตลาดในระยะสั้นไม่ใช่ตลาดสำหรับการ ซื้อแล้วถือ (Buy and Hold) แต่เป็นการใช้กลยุทธ์จับจังหวะจากกรอบแนวรับ-แนวต้านเสียมากกว่า
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองแดงตลาดโลก
เพื่อเจาะลึกถึงภาพรวมปัจจัยพื้นฐาน เราจำเป็นต้องวิเคราะห์แรงขับเคลื่อนหลักในตลาด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ฝั่งอุปสงค์ (ความต้องการใช้) ฝั่งอุปทาน (กำลังการผลิต) และปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค
ฝั่งอุปสงค์
ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs): จากการคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ที่ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 18.9% ในช่วงปี 2023 - 2030 และคาดว่าความต้องการทองแดงจากภาคยานยนต์ไฟฟ้าจะพุ่งสูงขึ้นจาก 204,000 ตันในปี 2020 ไปสู่ 2.2 ล้านตันภายในปี 2030
พลังงานหมุนเวียนและโครงข่ายไฟฟ้า: การลงทุนในโครงข่ายไฟฟ้าทั่วโลกคาดว่าจะสูงเกิน 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และคาดว่าจะผลักดันความต้องการทองแดงเฉพาะในส่วนนี้ให้เพิ่มขึ้นจาก 12.52 ล้านตันในปี 2025 เป็น 14.87 ล้านตันภายในปี 2030
การประมวลผลของ AI ต้องการพลังงานและฮาร์ดแวร์อย่างมหาศาล และศูนย์ Data Center ที่รองรับ AI ที่คาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นจาก 78,000 ตันในปี 2020 เป็นมากกว่า 650,000 ตันภายในปี 2030 และบริษัทค้าสินค้าโภคภัณฑ์ยักษ์ใหญ่อย่าง Trafigura คาดการณ์ว่า AI และ Data Center เพียงอย่างเดียวอาจสร้างความต้องการทองแดงเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านตันภายในสิ้นทศวรรษนี้ (2030)
เศรษฐกิจจากจีน ซึ่งยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้บริโภคทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก ดังนั้น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ภาคอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของจีนยังคงเป็นตัวชี้วัดที่ต้องจับตา
ฝั่งอุปทาน
ภาวะวิกฤตในชิลีและเปรู: สองประเทศนี้ครองส่วนแบ่งการผลิตทองแดงรวมกันกว่า 40% ของทั้งโลก การพึ่งพิงแหล่งผลิตเพียงไม่กี่แห่งสร้างความเสี่ยงอย่างมหาศาล ปัจจุบันทองแดงผลิตได้จากสองเหมืองนี้ลดลง
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยแล้ง: รายงานจาก PwC ระบุว่า ภายในปี 2050 การผลิตทองแดงของเปรูถึง 41% จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยแล้งขั้นรุนแรง เพิ่มขึ้นจาก 0% ในปัจจุบัน นี่ไม่ใช่ปัญหาชั่วคราว แต่เป็นข้อจำกัดทางกายภาพที่คุกคามอุปทานของโลกในระยะยาว
อุปสรรคทางการเมืองและกฎระเบียบ: กระแสชาตินิยมด้านทรัพยากร กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น และการต่อต้านจากชุมชนในพื้นที่ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้การเปิดเหมืองใหม่ล่าช้าและเพิ่มต้นทุนการดำเนินงาน ส่งผลให้การผลิตทองแดงคุณภาพจะยิ่งยากขึ้นไปอีก และ อาจไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
การจะเปิดเหมืองทองแดงแห่งใหม่ต้องใช้เวลาเฉลี่ยเกือบ 18 ปี หลังจากที่ราคาทองแดงตกต่ำมานานนับทศวรรษ ทำให้อุตสาหกรรมขาดการลงทุนในการสำรวจและพัฒนาเหมืองใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง Goldman Sachs ประเมินว่าตลาดจะขาดดุลอุปทานมากกว่าครึ่งล้านตันในปี 2027
คุณภาพแร่ที่ลดลง: คุณภาพของแร่ทองแดงที่ขุดได้ทั่วโลกกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง หมายความว่าต้องขุดหินในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อสกัดทองแดงให้ได้เท่าเดิม ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนและปริมาณการใช้พลังงานอย่างมหาศาล
ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค และการอ้างอิงเงินดอลลาร์สหรัฐ:
ราคาทองแดงซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์แบบผกผัน กล่าวคือ เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง จะทำให้ทองแดงมีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการและผลักดันให้ราคาสูงขึ้น การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อราคาทองแดงอย่างเลี่ยงไม่ได้ (เฟดลดดอก Us Dollar อ่อนค่า)
ความตึงเครียดทางการค้าและกำแพงภาษี: นโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าทองแดงถึง 50% ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดอย่างมาก นโยบายเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการเร่งนำเข้าสินค้าเข้าสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งส่งผลให้สต็อกสินค้าคงคลังทั่วโลกถูกดึงออกไป และสร้างส่วนต่างราคา (Premium) ระหว่างตลาด COMEX (สหรัฐฯ) และ LME (ลอนดอน) ให้ถ่างกว้างขึ้น แม้จะสร้างความผันผวนในระยะสั้น แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจกลไกของตลาด
คาดการณ์ราคาทองแดงปี 2025-2030: มุมมองจากสถาบันการเงินชั้นนำ
ภาพรวมการคาดการณ์ราคาทองแดงจากสถาบันการเงินชั้นนำชี้ไปในทิศทางเดียวกันคือแนวโน้มขานระยะยาว แต่จะมีความแตกต่างในรายละเอียดและจังหวะเวลาในแต่ละปีเท่านั้น....!!!
ปี 2025: ปีแห่งความผันผวนและการปรับฐาน
ปี 2025 ถูกมองว่าเป็นปีที่ตลาดจะมีความผันผวนสูง โดยเป็นการต่อสู้กันระหว่างปัจจัยลบในระยะสั้นและปัจจัยบวกในระยะยาว
J.P. Morgan มีมุมมองที่ระมัดระวังที่สุด โดยคาดว่าตลาดจะเข้าสู่ช่วงเวลาของการชดเชย (period of payback) หลังจากการเร่งนำเข้าทองแดงจำนวนมากเข้าสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปีเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี ซึ่งจะนำไปสู่การระบายสต็อกและลดการนำเข้าในช่วงครึ่งหลังของปี กดดันให้ราคาในตลาด LME อาจปรับตัวลงไปที่ระดับ 9,100 ต่อตัน ในไตรมาสที่ 3 ก่อนจะฟื้นตัวเล็กน้อย
ในทางกลับกัน สถาบันอย่าง Citi และ Goldman Sachs มองว่าแม้จะมีความผันผวน แต่ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและการลดลงของสต็อกทั่วโลกจะช่วยพยุงราคาไว้ Citi คาดการณ์ว่าราคาอาจพุ่งสูงถึง 15,000 ต่อตัน ในกรณีที่ดีที่สุด แต่ก็อาจปรับฐานลงมาที่ 8,800 ต่อตัน ได้เช่นกันหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อันนี้แม่นปัจจุบันขึ้นมาได้ครึ่งทางที่ 120,000 USD ต่อตัน
คาดการณ์ราคาเฉลี่ย: อยู่ในกรอบกว้างระหว่าง $9,000 - 10,200 ต่อตัน --> ประเมินได้ใกล้เคียง ปี 2025 ราคาเฉลี่ยทองแดงประเมินว่าอยู่ที่ประมาณ 10,280 USD/MT
ปี 2026: จุดเริ่มต้นของภาวะขาดดุลที่ชัดเจน
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าปี 2026 จะเป็นปีที่ภาวะขาดดุลอุปทานเริ่มส่งผลกระทบต่อราคาอย่างชัดเจนมากขึ้น หลังจากปัจจัยรบกวนระยะสั้นในปี 2025 คลี่คลายลง
UBS คาดการณ์ว่าราคาทองแดงจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 โดยอาจแตะระดับ 11,000 ต่อตัน ภายในเดือนกันยายน ปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากการชะลอตัวในปี 2025 ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการใช้ทองแดงในภาคอุตสาหกรรมขณะที่ปัญหาการขาดแคลนแร่ทองแดงเข้มข้น (concentrate) อาจส่งผลให้การผลิตทองแดงบริสุทธิ์ลดลง 1.5% ซึ่งจะทำให้ภาวะขาดดุลรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม Red Cloud มีมุมมองที่ต่างออกไป โดยคาดว่าตลาดอาจเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาดชั่วคราว (temporary surplus) ที่ 126,000 ตัน เนื่องจากผลกระทบต่อเนื่องจากกำแพงภาษีและการชะลอตัวของอุปสงค์ในสหรัฐฯ ซึ่งอาจกดดันให้ราคาปรับตัวลงชั่วคราว
คาดการณ์ราคาเฉลี่ย: มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยอาจเคลื่อนไหวในกรอบ $9,500 - 11,000 ต่อตัน แต่ยังคงมีความผันผวนสูง
ปี 2027: ภาวะขาดดุลที่รุนแรงขึ้น
ในปี 2027 ปัจจัยพื้นฐานด้านอุปทานที่ตึงตัวจะกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดอย่างเต็มตัว
BloombergNEF (BNEF) คาดการณ์ว่าราคาทองแดงอาจพุ่งสูงขึ้นถึง 20% ภายในปี 2027 เนื่องจากภาวะขาดดุลอุปทานจะรุนแรงขึ้นถึงจุดสูงสุดหลังจากปี 2025 Red Cloud คาดการณ์ว่าตลาดจะกลับเข้าสู่ภาวะขาดดุลอีกครั้งที่ประมาณ 19,000 ตันในปีนี้ และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความต้องการจากภาคส่วนใหม่ๆ เช่น ศูนย์ข้อมูล AI จะเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลักดันอุปสงค์เพิ่มเติมจากเทรนด์พลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม
คาดการณ์ราคาเฉลี่ย: มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยอาจทะลุระดับ 11,500 ต่อตัน และสร้างฐานราคาใหม่ที่สูงขึ้น
ปี 2028-2030: ทศวรรษแห่งการเติบโตสู่ระดับสูงสุดใหม่
ช่วงปลายทศวรรษจะเป็นช่วงเวลาที่ภาวะขาดดุลเชิงโครงสร้างส่งผลกระทบอย่างเต็มที่และยั่งยืน
Red Cloud คาดการณ์ว่าภาวะขาดดุลจะถ่างกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 46,000 ตันในปี 2028 เป็น 555,000 ตันในปี 2029 และสูงถึง 766,000 ตันในปี 2030
การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้ทองแดงในศูนย์ข้อมูล AI ที่อาจเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านตันภายในปี 2030 ตามการคาดการณ์ของ Trafigura ในขณะที่อุปทานจากเหมืองทั่วโลกคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดในช่วงปลายทศวรรษ 2020 แล้วจะเริ่มลดลงเนื่องจากเกรดแร่ที่ต่ำลงและการขาดการลงทุนในเหมืองใหม่ๆ
Grand View Research สนับสนุนภาพรวมนี้โดยคาดการณ์ว่าตลาดทองแดงโดยรวมจะเติบโตในอัตราเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 6.5% ในช่วงปี 2025-2030 คาดการณ์ราคาเฉลี่ย: Red Cloud คาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 11,574 ต่อตัน ในปี 2028 และอาจเฉลี่ยสูงถึง 13,228 ต่อตัน ภายในปี 2030
-------------
หากสนใจนำเข้าทองแดงหรือสั่งซื้เอทองแดงโปรดติดต่อ SOOK Trading ผ่านทางช่อง Contact Us หรือ Give Inquiry ทางเราจะติดต่อกลับเพื่อนำเสนอทองแดงคุณภาพดี ราคายอดเยี่ยมไปให้...!!!!


