แชร์

SOLAR FARM: ECO ENERGY FROM THE SUNSHINE (FUTURE ENERGY)

อัพเดทล่าสุด: 1 ธ.ค. 2025
43 ผู้เข้าชม

 

 

 

สรุปทิศทาง SOLAR FARM ในไทย (ภาคประชาชน) แบบละเอียด


ประเทศไทย ตลาดโซลาร์รูฟท็อปได้รับความสนใจและมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน และคาดว่าจะมีศักยภาพมากขึ้นในอนาคต ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของประเทศในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อให้ไทยบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2608 ขณะที่ราคาค่าไฟฟ้าในประเทศพุ่งสูงขึ้นตามราคาพลังงานสวนทางกับราคาแผงโซลาร์เซลล์ที่ลดลง ทำให้การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ภาครัฐสนับสนุนให้ภาคเอกชนนำมาใช้เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน 

วัตถุประสงค์ของบทความนี้จึงมุ่งเน้นถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์และพัฒนาการการเติบโตของโซลาร์รูฟท็อปในประเทศไทย โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะนโยบายของภาครัฐที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่อการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน รวมถึงการวิเคราะห์ด้วย PESTEL analysis เพื่อตรวจสอบปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการเติบโต และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนอนาคตของโซลาร์รูฟท็อปที่มีนัยต่อภาคธุรกิจ


ความสำคัญของ Solar Rooftop พลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืน


 โซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร  


 โซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) เป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดบนหลังคา ซึ่งเปรียบเสมือนมีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอยู่บนหลังคา เกิดจากแนวคิดในการเลือกใช้พื้นที่ว่างเปล่าบนหลังคาให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยส่งเสริมพลังงานสะอาดและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมสีเขียวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังเป็นทางเลือกสำคัญในหลายประเทศรวมถึงไทย ที่สนับสนุนนโยบายพลังงานหมุนเวียนเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด โซลาร์รูฟท็อปจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่สอดคล้องกับทิศทางนี้ โดยโซลาร์รูฟท็อปมีความสำคัญและมีประโยชน์หลายด้าน ดังนี้

เป็นพลังงานสะอาดและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน กล่าวคือ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ที่มีส่วนในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ด้วยการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและบรรเทาปัญหาโลกร้อนและมลพิษทางอากาศได้อย่างยั่งยืน
ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โซลาร์รูฟท็อปสามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในเวลากลางวันที่มีการใช้พลังงานสูง การผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองจึงช่วยลดความเสี่ยงจากการขึ้นราคาค่าไฟฟ้าจากระบบสาธารณะในอนาคต อีกทั้งไฟฟ้าส่วนเกินความต้องการยังสามารถขายพลังงานส่วนเกินคืนให้กับระบบสายส่งไฟฟ้า (Grid) ได้อีกด้วย นอกจากนี้ การผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง และเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างมาก จึงสามารถใช้งานได้ไม่จำกัด
ลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าเป็นการสนับสนุนภาครัฐในการลดรายจ่ายจากการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศนั้นๆ สามารถพึ่งพาตนเองในด้านพลังงานได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่มีแนวโน้มการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น จีนและอินเดีย
ใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากติดตั้งบนหลังคาของบ้านที่อยู่อาศัยหรืออาคาร ซึ่งโดยปกติมักเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ จึงช่วยเพิ่มคุณค่าของพื้นที่เหล่านี้โดยเปลี่ยนให้เป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้งานโดยตรง
เพิ่มความอิสระด้านพลังงาน เพราะการมีระบบโซลาร์รูฟท็อปช่วยเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาพลังงานให้กับครัวเรือนหรือธุรกิจ โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากภายนอกทั้งหมด นอกจากนี้ยังช่วยลดผลกระทบจากไฟฟ้าดับที่เกิดจากระบบสายส่งไฟฟ้าหลักได้อีกด้วย
สนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียว ในรูปแบบของการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ทั้งช่วยสร้างงานในหลากหลายด้าน เช่น การผลิต การติดตั้ง การซ่อมบำรุง และการวิจัยพัฒนา นอกจากนี้ยังช่วยสนับสนุนชุมชนให้ก้าวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน   
เมื่อพิจารณาปัจจัยด้านอุปสงค์พบว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาคครัวเรือนและธุรกิจตื่นตัวและสนใจติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคาสำหรับใช้งานแทนการใช้ไฟฟ้าในระบบสายส่งไฟฟ้า (Grid) มากขึ้น ท่ามกลางต้นทุนค่าไฟฟ้าที่พุ่งทะยานตามราคาพลังงานเชื้อเพลิง รวมถึงแรงผลักดันจากภาครัฐในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย ได้ออกมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ในขณะที่ทางฝั่งอุปทาน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์คู่กับแบตเตอรี่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานได้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนของเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคามีความคุ้มค่ามาก


หลักการทำงานของ Solar Rooftop  

การทำงานของโซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) เริ่มจากการนำแผ่นรับแสงอาทิตย์ที่เรียกว่า แผงโซลาร์เซลล์ (Photovoltaic solar panels: PV) มาติดตั้งบนหลังคาของบ้านที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์/โรงงานอุตสาหกรรม (Commercial & Industrial) และระบบจำหน่ายในกิจกรรมขนาดใหญ่หรือสาธารณูปโภค (Utility) โดยเมื่อแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ จะทำหน้าที่แปลงพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จากนั้นไฟฟ้ากระแสตรงจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ด้วยเครื่องแปลงไฟที่เรียกว่า อินเวอร์เตอร์ (Inverter) เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้ โดยแต่ละอาคารบ้านเรือนหรือธุรกิจต่างๆ จะมีรูปแบบการใช้ไฟฟ้า (Load profile) ที่แตกต่างกัน เช่น บ้านเรือนส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟ้ามากในช่วงเย็นและกลางคืน ส่วนอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และโรงงานอุตสาหกรรม จะใช้ไฟฟ้าสูงในช่วงกลางวันและต่ำในตอนกลางคืน ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งอาจมีการใช้ไฟฟ้าสูงตลอดทั้งวัน จึงอาจต้องมีระบบเก็บพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินไว้ในแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (Battery storage) เพื่อใช้งานในเวลาที่ไม่มีแสงแดดโดยเฉพาะเวลากลางคืน นอกจากนี้ ในกรณีที่ระบบโซลาร์รูฟท็อปเชื่อมต่อกับระบบสายส่งไฟฟ้า (On grid) ไฟฟ้าที่ผลิตได้เกินความต้องการสามารถขายคืนให้ระบบสายส่งไฟฟ้า (Grid) หรือหากผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอในช่วงเวลาใดๆ ก็สามารถดึงไฟฟ้าจากการไฟฟ้ามาใช้งานเสริมได้
 
การเติบโตของตลาด Solar PV ของโลกและภูมิภาคที่เป็นตลาดใหญ่
 การเติบโตของตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV)
 ในปี 2566 กำลังการติดตั้ง (Installing capacity)  พลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ (Solar PV) ของโลกเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากปี 2562 อยู่ที่ 1,439.30 กิกะวัตต์ (GW) และคาดว่าในปี 2573 จะแตะระดับ 6,094.03 GW คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 22.9% ต่อปี (CAGR)  โดยมีปัจจัยผลักดันจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลประเทศต่างๆ เช่น เครดิตภาษีการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ขณะที่ต้นทุนของโมดูล PV โซลาร์เซลล์ลดลง ทำให้เข้าถึงการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ได้ง่ายขึ้น

โดยการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดินขนาดใหญ่ (Ground-mounted) และบนหลังคา (Rooftop solar) คิดเป็นสัดส่วน 56.9% และ 43.1% ของกำลังการติดตั้งทั้งหมดในปี 2566 ตามลำดับ และคาดว่าสัดส่วนการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาจะเพิ่มขึ้นเป็น 45.4% ในปี 2573 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 23.8% ต่อปี (CAGR) ซึ่งสูงกว่าการติดตั้งบนพื้นดิน 

และเมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มผู้ใช้งาน พบว่ากลุ่มที่เชื่อมต่อระบบจำหน่ายระดับกิจการขนาดใหญ่ (Utility) มีสัดส่วนมากที่สุด ถึงราว 61.1% ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด รองลงมาคือการติดตั้งในภาคพาณิชยกรรม (Commercial) หรืออาคารพาณิชย์และอาคารอุตสาหกรรม มีสัดส่วน 23.7% และภาคที่พักอาศัย (Residential) มีสัดส่วน 15.2% และคาดว่าภายในปี 2573 สัดส่วนของกลุ่ม Residential จะเพิ่มเป็น 17.4% ด้วยอัตราการเติบโตที่สูงกว่ากลุ่ม Utility โดย Mordor Intelligence ประเมินว่าช่วงปี 2566-2573 กำลังการผลิตติดตั้งโซลาร์เซลล์ทั่วโลกในภาคที่พักอาศัยจะเติบโตเฉลี่ย 25.3% ต่อปี (CAGR) ขณะที่กำลังการผลิตจากการเชื่อมต่อระบบ Utility และ Commercial จะขยายตัวเฉลี่ย 22.9% และ 21.1% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับรายงานขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ที่ประมาณการว่าจำนวนครัวเรือนทั่วโลกที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากระบบโซลาร์เซลล์จะเพิ่มขึ้นจาก 25 ล้านครัวเรือนในปี 2565 เป็นมากกว่า 100 ล้านครัวเรือนภายในปี 2573 ภายใต้ฉากทัศน์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ 20502/  (Net Zero Emissions by 2050 Scenario: NZE Scenario) โดยการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคาได้กลายเป็นกระแสหลักและขยายตัวอย่างรวดเร็วจากต้นทุนของโมดูล PV โซลาร์เซลล์ที่ลดลง การเข้าถึงบริการทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ราคาค่าไฟฟ้าปรับสูงขึ้น ทำให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจหันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อใช้เองมากขึ้น

ภูมิภาคที่มีการลงทุนในตลาดพลังงานแสงอาทิตย์หรือ Solar PV มากที่สุด คือภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีสัดส่วน 59.7% ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดในปี 2566 ขณะที่ทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือมีสัดส่วน 21.5% และ 12.5% ตามลำดับ (ภาพที่ 4) และคาดว่าในปี 2573 สัดส่วนนี้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 64.8% คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 24.4% ต่อปี (CAGR) ขณะที่ในปี 2573 สัดส่วนของทวีปยุโรปจะลดลงมาอยู่ที่ 19.7% (ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 21.3%) และสัดส่วนของทวีปอเมริกาเหนือจะลดลงมาอยู่ที่ 8.8% (ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 16.8%) เนื่องจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีประเทศสำคัญอย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และประเทศเกิดใหม่อื่นๆ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแผงโซลาร์เซลล์ อีกทั้งความต้องการแผงโซลาร์เซลล์ในภูมิภาคนี้ยังถูกขับเคลื่อนจากนโยบายสนับสนุนและมาตรการจูงใจจากภาครัฐในด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียน รวมถึงทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและการขยายตัวของเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการพลังงานเพิ่มมากขึ้น พลังงานแสงอาทิตย์จึงเป็นทางออกที่ยั่งยืนและมีโอกาสขยายตัวสูง เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของเมืองและเขตอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวในภูมิภาคนี้ (ที่มา: Arizton 2024) 

ปัจจัยขับเคลื่อนเชิงนโยบายในการสนับสนุน Solar Energy ของแต่ละประเทศหลัก
 การเติบโตของตลาด Solar PV ตลอดจน Solar Rooftop ได้แรงขับเคลื่อนของนโยบายสนับสนุนของภาครัฐที่ให้ภาคเอกชนหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น โดยการดำเนินโยบายด้านพลังงานของหลายประเทศ ต่างมุ่งส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 อาทิ มาตรการด้านภาษี การออกกฎหมายที่เอื้อต่อการใช้โซลาร์เซลล์ การสร้างงาน และผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีโครงการริเริ่มของรัฐบาล เช่น เครดิตภาษีการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของรัฐบาลกลาง และแรงจูงใจต่างๆ ที่จะทำให้การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์มีความเป็นไปได้ทางการเงิน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนช่วยกระตุ้นการใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ เยอรมนี จีน อินเดีย และญี่ปุ่น 


ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาแผงโซลาร์เซลล์ในตลาดโลก
 ราคาแผงโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางภาวะค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามราคาพลังงาน ทำให้การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ในภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็กเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองคุ้มค่ามากขึ้น โดยต้นทุนการติดตั้ง Solar PV ลดลงจากในปี 2553 ที่เฉลี่ย 5.31 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัตต์ มาอยู่ที่ 0.76 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัตต์ในปี 2566 หรือคิดเป็นการลดลงเฉลี่ยปีละ -13.7% ส่วนราคาแผง Solar PV ในตลาดโลกปรับลดลงอยู่ที่ 0.31 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัตต์ คิดเป็นอัตราการลดลงเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันที่ -13.6% ต่อปี และในระยะต่อไป การพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีแผงโซลาร์เซลล์ให้มีประสิทธิภาพการใช้งานที่สูงขึ้น ทนทานมากขึ้น ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา จะยิ่งสร้างความคุ้มค่าและขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดได้มากขึ้น เช่น การพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน การพัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ เช่น Solid-State Batteries ที่ทำงานร่วมกับแผงโซลาร์เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น


สถานการณ์และแนวโน้มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาในไทย
 ภาพรวมสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย  
 ปี 2566 ประเทศไทยมีการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 203,898 กิกะวัตต์-ชั่วโมง (GWh) เพิ่มขึ้น 3.4% จากปี 2565 โดยการใช้งานส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม (สัดส่วน 42.3% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด) รองลงมา ได้แก่ ภาคครัวเรือน (28.3%) ภาคธุรกิจ (24.5%) และอื่นๆ (องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร การสูบน้ำเพื่อการเกษตร ไฟฟ้าสาธารณะ และไฟฟ้าชั่วคราว สัดส่วนรวมกัน 4.9%) ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ อยู่ที่ 223,283 GWh (เพิ่มขึ้น +3.4% จากปีก่อนหน้า) โดยใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตด้วยสัดส่วนสูงสุด (58.0% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงทุกประเภท) รองลงมาได้แก่ การนำเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศ (สัดส่วน 14.7%) ถ่านหิน/ลิกไนต์ (สัดส่วน 13.6%) พลังงานหมุนเวียน (สัดส่วน 10.4%) พลังน้ำ (สัดส่วน 2.9%) และน้ำมัน (สัดส่วน 0.4%) โดยสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนต่อพลังงานขั้นสุดท้ายปี 2566 อยู่ที่ 14.6% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2565 ที่อยู่ที่ 14.0% โดยในจำนวนนี้เป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ถึง 25.7% ของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนทั้งหมดของประเทศ (ภาพที่ 6) และ Mordor Intelligence คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2567-2572 กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2% (CAGR)


สถานการณ์การใช้ไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้าของไทยในปี 2567 และแนวโน้มปี 2568-2570 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 ด้านการใช้ไฟฟ้า


ปี 2567 คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะขยายตัว 5.0-6.0% เร่งขึ้นเล็กน้อยจาก 3.4% ปี 2566 แม้จะได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว แต่เศรษฐกิจไทยโดยรวมยังคงฟื้นตัวในวงจำกัด โดยภาคการผลิตและภาคส่งออกยังเติบโตในระดับต่ำ ท่ามกลางอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.63 บาทต่อหน่วยในช่วงปี 2562-2564 ประกอบกับภาครัฐส่งเสริมให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าใช้เอง โดยออกมาตรการจูงใจให้ภาคครัวเรือน ธุรกิจ และโรงงาน/อุตสาหกรรมติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเพื่อใช้เองและจำหน่ายระหว่างกันมากขึ้น จึงส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในระบบลดลงระดับหนึ่ง

สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าปี 2568-2570 คาดว่าจะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 5.0-6.0% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับปี 2567 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงานตามแผนพลังงานชาติ และมาตรการส่งเสริมให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าใช้เอง รวมถึงค่าไฟฟ้าขายปลีกที่สูงกว่า 4.00 บาทต่อหน่วย (สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 3.76 บาทต่อหน่วยในช่วงปี 2562-2565) จึงอาจลดทอนความต้องการใช้ไฟฟ้าในระบบ (Grid) แต่จะจูงใจให้ภาคเอกชนมีแนวโน้มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคามากขึ้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนค่าไฟฟ้า

ด้านการผลิตไฟฟ้า
ปี 2567 (9 เดือนแรก) กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เข้าระบบตามสัญญาอยู่ที่ 9,922 เมกะวัตต์ (MW) โดยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เติบโตต่อเนื่อง โดยเข้าระบบแล้ว 91.5% ของเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 3,692 MW ในปี 2567 และคาดว่ากำลังการผลิตดังกล่าวจะทยอยเข้าระบบต่อเนื่องตามพันธะผูกพันกับทางการแล้ว4/ นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้าที่ยังทรงตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยจูงใจให้ภาคเอกชนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในช่วงกลางวัน สะท้อนจากความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่เปลี่ยนจากช่วงเวลากลางวันมาเป็นในช่วงเวลากลางคืน และเมื่อพิจารณาจากกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งข้อมูล 9 เดือนแรก คิดเป็นสัดส่วนเพียง 27.3% ของเป้าหมาย 12,139 MW ซึ่งยังต่ำมากเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงประเภทอื่น (ภาพที่ 7) ประกอบกับ (ร่าง) แผน PDP2024 จะเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 51% ภายในปลายแผนปี 2580 ซึ่งจะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุด 16% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงทุกประเภท จึงยังมีช่องว่างที่เอื้อต่อการเพิ่มการลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์อีกมาก

 การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าของไทย  
 การผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar cell) เพื่อใช้งานเองมีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นตั้งแต่ปี 2562 โดยระหว่างปี 2562-2565 รัฐกำหนดเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar rooftop) สำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยที่มีขนาดกำลังการผลิตน้อยกว่า 10 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) เพื่อสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าของประชาชนให้สามารถขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือคืนเข้าระบบสายส่งไฟฟ้าแก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ ผลปรากฏว่ามีผู้ติดตั้งรวมสะสมตั้งแต่ปี 2562-2565 จำนวน 5,609 ราย กำลังการผลิตรวม 30,845 kWp

ขณะที่ปี 2564-2573 รัฐบาลมีเป้าหมายรับซื้อไฟเพิ่มเติมจากกลุ่มบ้านอยู่อาศัย จำนวนไม่เกินปีละ 90 เมกะวัตต์ (MW) (ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคประชาชนที่เพิ่มขึ้น และปรับเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนเหลือขายเข้าระบบเป็น 2.20 บาทต่อหน่วย (จาก 1.68 บาทต่อหน่วย) ระยะสัญญา 10 ปี ทำให้โครงการ Solar rooftop ได้รับความสนใจมากขึ้น สะท้อนจากปี 2564-2565 มีผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากปี 2563 โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566  มีโครงการ Solar rooftop ที่มีพันธะผูกพันกับภาครัฐจำนวน 6,149 ราย คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวม 131 MW ในขณะที่โครงการผลิตไฟฟ้าจาก Solar rooftop เพื่อใช้เองและจำหน่ายลูกค้าตรงมีจำนวน 18,717 ราย กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,050 MW (ตารางที่ 4)

ศักยภาพของพลังงานแสงอาทิตย์เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่น


เมื่อเปรียบเทียบศักยภาพของพลังงานแสงอาทิตย์กับพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่น จากปัจจัย 6 ด้าน ได้แก่ (1) ปัจจัยทางด้านวัตถุดิบ (2) ต้นทุน/เทคโนโลยี (3) ด้านสิ่งแวดล้อม (4) ด้านสังคม/ชุมชน (5) ด้านกฎหมาย และ (6) ด้านนโยบายภาครัฐ (เป้าหมายด้านการผลิตและการบริหารจัดการระบบสายส่งไฟฟ้า) (ภาพที่ 8) จะพบว่า พลังงานแสงอาทิตย์มีความเสี่ยงต่ำในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะด้านวัตถุดิบ เนื่องจากแสงอาทิตย์ไม่มีต้นทุน ขณะที่ต้นทุนเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ก็ปรับลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนในพลังงานสะอาดอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านกฎหมายในปัจจุบันอาจยังไม่ครอบคลุมมากนัก แม้ว่าที่ผ่านมาได้มีการทยอยปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมาย อาทิ พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการรัฐ พ.ศ. 2556 อนุญาตให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดิน (Solar farm) ในส่วนราชการและสหกรณ์การเกษตร รวมถึงการเปิดเสรีการผลิตไฟฟ้าบนหลังคา (Solar rooftop) ในรูปแบบการผลิตใช้เองและขายไฟฟ้าเข้าระบบสายส่ง (Grid) ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุนเพื่อใช้ประโยชน์จากเชื้อเพลิงธรรมชาติที่ไม่มีวันหมดนี้

ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนพัฒนาการของ Solar Rooftop ในไทย
 จะเห็นได้ว่าการเติบโตของการติดตั้ง Solar rooftop ในไทยได้รับอานิสงส์จากปัจจัยทั้งฝั่งอุปสงค์การใช้ไฟฟ้า และฝั่งอุปทานด้านการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยนโยบายภาครัฐซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ รวมถึงโครงการ Feed-in Tariff (FiT) ซึ่งให้แรงจูงใจทางการเงินสำหรับไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน ซึ่งในส่วนนี้จะกล่าวถึงวิวัฒนาการของนโยบายด้านพลังงานสะอาดของไทย ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่การใช้พลังงานสะอาด ร่วมกับการวิเคราะห์ผ่าน PESTEL analysis ซึ่งจะประเมินถึงปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในการขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด Solar rooftop ได้ดียิ่งขึ้น นอกเหนือจากนโยบายภาครัฐ


นโยบายสนับสนุนด้านพลังงานของภาครัฐ   

เป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีการปรับเปลี่ยนอยู่เป็นระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการสนับสนุนด้านอื่นของภาครัฐ ซึ่งแสดงถึงวิวัฒนาการของแผนพัฒนาพลังงานทดแทนโดยเริ่มจากแผนพัฒนาพลังงานทดแทนปี 2550-2565 (REDP) จนมาถึงแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกปี 2561-2580 (AEDP2018) ที่กำหนดเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์รวมทั้งสิ้น 12,139 เมกะวัตต์ (MW) ภายในปี 2580 และอยู่ระหว่างจัดทำแผน AEDP2024

โดยปี 2562-2565 นโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเน้นส่งเสริมให้มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar rooftop) อย่างเสรี นโยบายนี้ส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ขยายจากตลาดที่ภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าไปยังภาคเอกชนผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (Self-consumption) หรือจำหน่ายให้แก่ลูกค้าตรง หรือเรียกว่าเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่ไม่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐ (Independent power supplier: IPS) เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศ

สถานะปัจจุบันของการลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบ (Grid) มีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผลจากนโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบ Feed-in Tariff จากผู้ผลิตในประเทศรวมกว่า 7,000 MW โดยกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้ประโยชน์และมีโอกาสเพิ่มการลงทุน คือ กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนพื้นดิน (Solar farm) พลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาภาคประชาชน (Solar rooftop) จำนวน 90 MW และพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งทางการได้ทยอยเปิดรับซื้อไฟฟ้าในส่วนของ Solar rooftop ภาคประชาชนเข้าระบบแล้วตั้งแต่ปี 2565 จำนวน 10 MW ทำให้คาดว่าการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือจำหน่ายลูกค้าตรง หรือ IPS จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 นโยบายด้านราคารับซื้อจากภาครัฐ ปรับเปลี่ยนจาก Adder เป็น Feed-in-Tariff เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง

ประเทศไทยได้ปรับเปลี่ยนการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนจากระบบ Adder5/ มาเป็นระบบ Feed-in Tariff (FiT)6/ ซึ่งปัจจุบันมีภาคเอกชนทั้งที่อยู่ในระบบ Adder ที่ยังมีสัญญาอยู่ และการรับซื้อภายใต้ระบบ FiT ในโครงการ Solar rooftop ซึ่งสองระบบนี้จะมีความแตกต่างกันทั้งด้านการกำหนดราคารับซื้อ และรูปแบบการซื้อขายไฟฟ้า โดยราคารับซื้อไฟฟ้าภายใต้ระบบ FiT จะสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในภาวะปัจจุบัน และเป็นอัตราคงที่ (นอกเหนือจากปัจจัยผันแปรด้านอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งส่งผลต่อความคุ้มค่าที่จะเข้ามาลงทุนเพื่อจำหน่ายเข้าระบบ Grid ซึ่งในปี 2567 ภาครัฐได้เปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 25642573 ในส่วนพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนพื้นดิน (Solar farm) จำนวน 5,000 MW

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรับซื้อนี้ จะเอื้อกับผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีความพร้อมทางการเงินและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทางการพิจารณา ซึ่งหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ได้ใช้ระบบ FiT ในการจูงใจการลงทุนในพลังงานสะอาดด้วยเช่นกัน ในกรณีของไทย โครงการ Solar rooftop (ติดตั้งในพื้นที่ภาคกลาง ใช้แผงโซลาร์ประเภทโมโนคริสตัลไลน์) ที่ได้รับ FiT จะให้ระยะเวลาคืนทุน เท่ากับ 6.1 ปี และ IRR เท่ากับ 15% ซึ่งดีกว่ากรณีที่โครงการไม่มี FiT7/

 Solar Rooftop โอกาสและความท้าทายของภาคธุรกิจของไทย
 ในระยะยาว อนาคตของโครงการติดตั้ง Solar rooftop ของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับแรงผลักดันจากการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบและนโยบายสนับสนุนตามแผน PDP2024 ที่มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าเป็น 51% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงทุกประเภทภายในปลายแผนปี 2580 สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในเรื่องความมั่นคงและความยั่งยืนด้านพลังงานที่เข้มงวดขึ้น โดยกำหนดให้มาจากไฟฟ้าสะอาดจากพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 16% ของไฟฟ้าทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ในระยะอันใกล้นี้ แนวโน้มสำคัญที่จะเอื้ออำนวยต่อการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเพื่อรองรับการขยายตัวของการพัฒนาระบบ Solar rooftop โดยปัจจุบันกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการร่างกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ คาดว่าระเบียบนี้จะช่วยปรับปรุงกระบวนการอนุมัติโครงการ Solar rooftop และส่งเสริมการลงทุนโดยลดอุปสรรคด้านระเบียบราชการ ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจพิจารณาทางเลือกด้านโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้น และเพิ่มความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ (Feasibility) ของการติดตั้ง Solar rooftop ในอนาคต ,พลวัตของตลาด (Market dynamics) นอกจากการสนับสนุนด้านกฎระเบียบแล้ว พลวัตของตลาดฝั่งอุปสงค์ที่ช่วยสนับสนุนการติดตั้ง Solar rooftop ได้แก่ การที่ธุรกิจ โรงงาน และสถาบันการศึกษาตระหนักถึงประโยชน์ทางการเงินและความน่าเชื่อถือที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น ราคาค่าไฟฟ้าในประเทศที่ยังทรงตัวสูงกว่า 4 บาทต่อหน่วย ขณะที่ทางฝั่งอุปทาน ต้นทุนการติดตั้ง Solar rooftop ไม่สูงมากเช่นในอดีต และยังอาจลดลงต่อเนื่องจากอุปทานส่วนเกินของสินค้าจากจีนล้นตลาด ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องลดราคาสินค้าลง โดยในหลายๆ กรณีจะต่ำกว่าต้นทุนการผลิต (ที่มา: Bloomberg  News, 12 ก.ย. 67) ซึ่งไทยเองจะได้อานิสงส์จากต้นทุนราคาแผงโซลาร์เซลล์ที่ลดลงด้วย นอกจากนี้ ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์และประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (Energy Storage System: BESS) จะช่วยเพิ่มอัตราการนำไปใช้งานอีกด้วย
แม้ว่าอนาคตของ Solar rooftop จะมีแนวโน้มที่ดี แต่ยังคงมีประเด็นท้าทายทางธุรกิจทั้งเชิงเทคนิคและเชิงพาณิชย์ รวมถึงข้อจำกัดทางกายภาพในการติดตั้งหลังคาอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ธุรกิจนี้จึงควรมีแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ดังนี้

ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เช่น สร้างพันธมิตรและเครือข่ายความร่วมมือกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิต ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาโครงการ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ รวมถึงธุรกิจ Data center ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก และมักจะถูกกำหนดให้ใช้พลังงานสะอาดตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการขยายช่องทางการตลาดและขยายขนาดของการผลิตไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ซึ่งจะหนุนโอกาสในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรจากการลงทุนติดตั้ง Solar rooftop ได้มากขึ้น เ พร้อมกับต้องมีการออกแบบระบบการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงบนหลังคาที่มีขนาดเหมาะสมรองรับปริมาณการผลิตไฟฟ้าตามความต้องการของตลาดในพื้นที่ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการเชิงกายภาพที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีด้านสถาปัตยกรรมเพื่อให้สามารถลดต้นทุนและสร้างความเสถียรภาพของการกักเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้เต็มที่ รวมถึงการพัฒนาระบบการผลิตไฟฟ้าให้มีความโปร่งใส สอดคล้องกับมาตรฐานด้านการตรวจสอบย้อนกลับของธุรกิจปลายน้ำตามกฎระเบียบการค้าโลกที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สอดรับกับทิศทางของภาคอุตสาหกรรมของโลกในปัจจุบันซึ่งได้หันมาเน้นการลดต้นทุนพลังงานและลดการปลดปล่อยคาร์บอนเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน


บทความที่เกี่ยวข้อง
โซลาร์เซลล์ ทางเลือกใหม่ของผู้ใช้ไฟ
โซลาร์เซลล์เป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยประหยัดค่าไฟระยะยาว เป็นพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ ผลิตไฟฟ้าใช้เอง ลดค่าใช้จ่าย มีหลายระบบให้เลือก (On-grid, Off-grid, Hybrid) ติดตั้งง่าย ใช้ได้ทุกที่ แต่มีค่าลงทุนเริ่มต้นสูง แต่คุ้มค่าในระยะยาว พร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Perovskite ที่กำลังพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้หลากหลายขึ้น ทั้งติดตั้งบนหลังคาอาคาร, หน้าต่าง หรือแม้กระทั่งใช้กับยานยนต์ไฟฟ้า. ข้อดีหลัก ประหยัดค่าไฟ: ลดค่าไฟฟ้าได้มากถึง 70% และคืนทุนใน 3-5 ปี. พลังงานสะอาด: เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างมลพิษ. พลังงานหมุนเวียน: ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ไม่จำกัด. ใช้ได้ทุกที่: ติดตั้งได้ทั้งบ้าน อาคาร หรือพื้นที่ห่างไกล. ระบบโซลาร์เซลล์ยอดนิยม On-Grid: ต่อตรงกับไฟบ้าน ได้รับความนิยมมาก คืนทุนเร็ว เหมาะกับผู้ใช้ไฟทั่วไป. Off-Grid: ใช้กับแบตเตอรี่ เหมาะกับพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า แต่ค่าใช้จ่ายสูงกว่า. Hybrid: ผสมผสาน On-Grid และ Off-Grid ใช้ได้ทุกสถานการณ์ แต่ลงทุนสูง. นวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจ Perovskite Solar Cells: เทคโนโลยีใหม่ น้ำหนักเบา ยืดหยุ่นสูง ประสิทธิภาพสูง เหมาะกับงานหลากหลาย เช่น ฉีดพ่นบนอาคาร, หน้าต่าง. พลังงานจากเม็ดฝน (TENG): เทคโนโลยีที่ผสมผสานเพื่อผลิตไฟฟ้าจากเม็ดฝนตกกระทบแผง ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้แม้ในวันฝนตก. สิ่งที่ต้องพิจารณา ขนาดแผง: คำนวณให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จะใช้. ผู้ผลิต: เลือกผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ มีการรับประกันยาวนาน. การบำรุงรักษา: ทำความสะอาดแผงเป็นประจำเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด. โซลาร์เซลล์จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมได้ดีเยี่ยมสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่ม.
12 ธ.ค. 2025
เกร็ดความรู้ การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคอุตสาหกรรม  By SO OK
เกร็ดความรู้ เชื้อเพลิงชีวภาพ ในภาคอุตสาหกรรม การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคอุตสาหกรรมช่วยลดต้นทุนและมลภาวะ โดยนำวัตถุดิบทางการเกษตร (เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด) ของเสียจากโรงงาน (เช่น น้ำเสีย) และพืชพลังงาน (เช่น สาหร่าย) มาผลิตเป็นพลังงานชีวมวล (เม็ดเชื้อเพลิง) ก๊าซชีวภาพ (Biogas) ไบโอดีเซล และเอทานอล เพื่อใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในหม้อไอน้ำ โรงไฟฟ้า และยานยนต์ ซึ่งสนับสนุนเศรษฐกิจ BCG ลดการพึ่งพาพลังงานภายนอก และสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน. ประโยชน์หลัก: ลดต้นทุนและพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล: แทนที่ถ่านหิน น้ำมันเตา ด้วยพลังงานหมุนเวียน. ลดมลพิษ: ลดฝุ่น PM 2.5 กลิ่น และก๊าซเรือนกระจก. เพิ่มมูลค่าเกษตรกรรม: สร้างรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรเหลือใช้ (Zero Burn). สร้างความมั่นคงทางพลังงาน: เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในประเทศ. รูปแบบการใช้งานในอุตสาหกรรม: เชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass Fuel): นำฟางข้าว ซังข้าวโพด กากอ้อย มาอัดเป็นเม็ด (Energy Pellet) ใช้เป็นเชื้อเพลิงในหม้อเผาของโรงงาน (เช่น โรงงานปูนซีเมนต์). ก๊าซชีวภาพ (Biogas): เกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย หรือของเสียจากโรงงานและฟาร์มสัตว์ นำมาใช้ผลิตไฟฟ้าหรือทดแทนแก๊ส LPG ได้. ไบโอดีเซล (Biodiesel) และเอทานอล (Ethanol): ผลิตจากพืชน้ำมัน (ปาล์ม) และพืชหัว (มันสำปะหลัง อ้อย) ใช้ผสมในน้ำมันดีเซลและเบนซิน (แก๊สโซฮอล์). พลังงานจากสาหร่าย (Algae Biofuel): สาหร่ายเติบโตเร็ว ดูดซับคาร์บอนได้ดี นำมาผลิตเป็นไบโอดีเซลและเชื้อเพลิงอื่นๆ. ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่ใช้: อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์/ก่อสร้าง: ใช้ชีวมวล (ฟางข้าว) แทนถ่านหิน. อุตสาหกรรมอาหาร: ใช้ก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียเป็นพลังงาน. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และวัสดุชีวภาพ (Bio-based Industry): ใช้พืชผลทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสารเคมี, PLA (Polylactic Acid). การพัฒนาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นส่วนสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของไทย เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ. การพัฒนาเพื่อการ เชื้อเพลิงชีวภาพ มีหลากหลายประเภท ทั้งไม้สับ ไม้อัดแท่ง ไม้อัดแท่งสีดำ กะลาปาล์ม กะลามะพร้าว และเศษวัสดุทางการเกษตร ช่วยลดมลพิษ สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน.
7 ธ.ค. 2025
Carbon Credit คืออะไร ใช้งานอย่างไร และ ส่งผลต่อภาพธุรกิจอย่างไร ?
คาร์บอนเครดิตคือ สิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือจากการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสามารถวัดปริมาณได้ในหน่วยตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (\(tCO_{2}e\)) สิทธินี้สามารถซื้อขายได้ในตลาดคาร์บอนเพื่อใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเกิดคาร์บอนเครดิต เกิดขึ้นจากโครงการที่ช่วยลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก เช่น: โครงการพลังงานสะอาด: การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมโครงการปลูกป่า: การเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์โครงการจัดการของเสีย: การนำขยะมาผลิตเป็นพลังงานการผลิตแบบ Low-Carbon: การปรับปรุงกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การซื้อ: องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าที่กำหนดจะซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยส่วนที่เกินการขาย: องค์กรที่ดำเนินโครงการแล้วสามารถลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้ จะได้คาร์บอนเครดิตไปขายตลาดคาร์บอน: มี 2 ประเภทหลัก ได้แก่ตลาดภาคบังคับ (Mandatory Carbon Market): ดำเนินการตามกฎหมาย เช่น โดยรัฐบาลหรือสหประชาชาติตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market): ดำเนินการโดยองค์กรเอกชน เช่น องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ที่ดูแลโครงการ T-VER ในประเทศไทย
30 พ.ย. 2025
This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy