เกร็ดความรู้ การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคอุตสาหกรรม By SO OK

อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (BIOFUELS AND BIOCHEMICALS) 1 ใน 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve)
อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตเร็วในอนาคต และเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง เนื่องจากมีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ เช่น การที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายใหญ่ที่สุดของโลก มีอุตสาหกรรมเคมีและอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงเอทานอลที่พัฒนาแล้ว เป็นต้น
กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยเพิ่มเติมประเทศไทยควรจะสร้างอุตสาหกรรมชีวภาพ ที่ต่อยอดจากอุตสาหกรรมผลิตเอทานอลและเคมีในปัจจุบัน ดังนี้
สร้างอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพครบวงจร โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมกลางน้ำ เช่น การผลิตกรดแลคติกและกรดซักซินิกจากเอทานอล เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอุตสาหกรรมต้นน้ำ (ผลิตเอทานอล) และปลายน้ำ (อุตสาหกรรมเคมี) ที่มีอยู่แล้วรวมถึงผลิตภัณฑ์เคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ชนิดพิเศษ
ยกระดับอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน โดยขยายการใช้เทคโนโลยีผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่สอง (ซึ่งหมายถึงเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ไม่เป็นอาหาร เช่น ซังข้าวโพดและชานอ้อย) และเพิ่มการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่สาม (ซึ่งหมายถึงเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากสาหร่ายที่สามารถเพาะเลี้ยงได้)
ประโยชน์และการประยุกต์ใช้ของเชื้อเพลิงชีวมวลในอุตสาหกรรมการเกษตร
ในยุคปัจจุบันที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นประเด็นสำคัญของโลก การมองหาทางเลือกพลังงานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากยิ่งขึ้น หนึ่งในแหล่งพลังงานที่กำลังได้รับความสนใจในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภาคการเกษตร คือ เชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังสามารถสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับชุมชนเกษตรได้อย่างยั่งยืน
รู้จักกับเชื้อเพลิงชีวมวลในอุตสาหกรรมการเกษตร
เชื้อเพลิงชีวมวลเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมการเกษตร ความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกษตรกรและผู้ประกอบการหันมาใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้
การประยุกต์ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลในอุตสาหกรรมการเกษตร
การผลิตไฟฟ้า: เชื้อเพลิงชีวมวลสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ โดยนำเศษวัสดุจากการเกษตร เช่น ซังข้าวโพด ฟางข้าว หรือเศษไม้ มาเผาไหม้ในเตาเผาเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า ซึ่งสามารถนำไปใช้ในฟาร์มหรือส่งเข้าระบบไฟฟ้าของชุมชน
การให้ความร้อนในกระบวนการผลิต: ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร มักจะต้องการความร้อนในกระบวนการผลิต เช่น การอบแห้ง อัดแท่ง หรือการพาสเจอร์ไรซ์ เชื้อเพลิงชีวมวลสามารถให้ความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
การใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสารเคมี: เชื้อเพลิงชีวมวลสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสารเคมีที่ใช้ในเกษตร เช่น ปุ๋ยชีวภาพ หรือสารปรับปรุงดิน การใช้วัสดุเหลือใช้จากการเกษตรในการผลิตสารเหล่านี้ ช่วยลดการใช้สารเคมีที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การผลิตก๊าซชีวภาพ: การหมักของเสียจากการเกษตร เช่น มูลสัตว์ หรือเศษอาหาร สามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าหรือให้ความร้อนในฟาร์ม
การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเหลว: เศษวัสดุจากการเกษตรสามารถนำมาผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเหลว เช่น เอทานอล หรือไบโอดีเซล ซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะและเครื่องจักรในการเกษตร
การประยุกต์ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกรด้วยการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวมวลต่อชุมชนเกษตร
การใช้เชื้อเพลิงชีวมวลยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับชุมชนเกษตร โดยการใช้พลังงานจากทรัพยากรที่มีในท้องถิ่นนั้นทำให้เกษตรกรไม่ต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากภายนอก ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในตลาดโลก นอกจากนี้ยังสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกรจากการขายเศษวัสดุเหลือใช้ที่สามารถนำไปใช้ในการผลิตพลังงานได้
ในท้ายที่สุด เชื้อเพลิงชีวมวลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในการพัฒนาการเกษตรในปัจจุบัน การใช้เชื้อเพลิงชีวมวลไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานและเศรษฐกิจในชุมชนเกษตร ทำให้เชื้อเพลิงชีวมวลเป็นสิ่งที่ควรได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการใช้อย่างแพร่หลายในอนาคต
ทิศทางการใช้ bio energy ในไทย
ทิศทางพลังงานชีวภาพ (Bioenergy) ในไทยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีมาก (เช่น เอทานอลและไบโอดีเซล) เพื่อลดการพึ่งพาฟอสซิล สร้างรายได้ชุมชนในชนบท และสร้างงาน โดยสนับสนุนเทคโนโลยี การวิจัย และกฎหมายเพื่อพัฒนาการผลิตไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพรูปแบบใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและยั่งยืนมากขึ้น โดยใช้หลักการของ Energy 4.0 ที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม.
เป้าหมายหลักของทิศทาง Bioenergy ในไทย:
ความมั่นคงทางพลังงาน: ลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยใช้ทรัพยากรชีวมวลที่มีในประเทศ.
เศรษฐกิจชุมชน: สร้างงานในภาคเกษตรและการแปรรูป เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรในชนบท และเสริมมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร.
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: สนับสนุนพลังงานคาร์บอนต่ำ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม.
นวัตกรรม: พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพขั้นสูง (Advanced Biofuels) และการใช้ชีวมวลผลิตพลังงานรูปแบบต่างๆ.
รูปแบบการใช้ Bioenergy ที่สำคัญ:
เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels): เอทานอล (ผสมในแก๊สโซฮอล์) และไบโอดีเซล (ผสมในน้ำมันดีเซล) เป็นเชื้อเพลิงหลักที่ผลิตเชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน.
ชีวมวลผลิตไฟฟ้าและความร้อน (Biomass Power/Heat): ใช้เศษวัสดุทางการเกษตร เช่น แกลบ ชานอ้อย ฟางข้าว เพื่อผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม หรือใช้ในระดับชุมชน.
กลไกและมาตรการสนับสนุน:
การวิจัยและพัฒนา (R&D): สนับสนุนการวิจัยเทคโนโลยีพลังงานทดแทน.
โครงสร้างพื้นฐาน: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับพลังงานหมุนเวียน.
กฎหมายและระเบียบ: ปรับปรุงกฎหมายและมาตรการกำกับดูแลให้เอื้อต่อการพัฒนา.
การส่งเสริมเทคโนโลยี: สนับสนุนเทคโนโลยีผลิตความร้อนจากพลังงานทดแทนในภาคอุตสาหกรรม.
ความท้าทาย:
การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม.
การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับการใช้ประโยชน์จากชีวมวล.
โดยสรุป ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยใช้ Bioenergy เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยอาศัยศักยภาพทางเกษตรกรรมเป็นจุดแข็ง.
ทิศทางการขับเคลื่อนพลังงานไทย และ Energy 4.0
Energy 4.0 จะช่วยยกระดับและพัฒนาการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณค่ามากขึ้น โดยผสมผสานการใช้พลังงานอย่างสะอาดและรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างประหยัด คุ้มค่าไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าน้ำมันมากกว่า 85% เพื่อใช้ในภาคขนส่งในสัดส่วนที่มากสุด อีกทั้งเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้าในประเทศ ยังไม่มีความสมดุล พึ่งพาการใช้ก๊าซธรรมชาติในปริมาณที่มากถึง 60% ในขณะที่ใช้เชื้อเพลิงอื่นๆในปริมาณที่เล็กน้อย ฉะนั้นหัวใจสำคัญส่วนหนึ่งในเชิงไฟฟ้าส่วนกลางคือต้องกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงใดเชื้อเพลิงหนึ่งมากเกิน ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ โดยในอนาคตเชื้อเพลิงฟอสซิลจะลดบทบาทลง แต่ยังคงมีอยู่ในระบบ เพื่อให้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนนั้น ยังคงมีข้อจำกัด ด้วยพลังงานทดแทนยังมีจุดออ่อนในเรื่องความเสถียร Energy 4.0 จึงมีบทบาทสำคัญที่จุดแก้ปัญหา ด้วยการใช้ระบบ Energy Storage เข้ามาช่วยเสริมให้พลังงานทดแทนกลายเป็นพลังงานหลักของประเทศ ภายใต้เป้าหมายในการเพิ่มพลังงานทดแทนให้ได้ 20% ภายในปี 2579
ในส่วนของพลังงานไฟฟ้า นโยบาย Energy 4.0 หัวใจสำคัญคือต้องประหยัดมากขึ้น กรณีที่บริหารและควบคุมการใช้พลังงานเองได้ ในบางครั้งสามารถควบคุมระบบได้ดีกว่าการสั่งการจากระบบส่วนกลาง สามารถเลือกเปิดไฟปิดไฟได้สะดวกกว่า ฉะนั้นดัชนีชี้วัดตัวนี้ คือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศ ลดดัชนีความเข้มข้นของการใช้ไฟฟ้า โดยภายใน 20 ปี ต้องลดให้ได้ 90,000 ล้านหน่วย เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 10 โรง ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าหรือออกไป ส่วนที่สองคือสร้างความสมดุลใหม่สำหรับการเลือกใช้เชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติให้ต่ำกว่า 50% และเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการซื้อไฟจากต่างประเทศ และให้มีกลไกตลาดมากขึ้นในการที่จะเลือกใช้ไฟฟ้า ปัจจุบันระบบไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นระบบควบคุมศูนย์ แต่ในอนาคตจะมีระบบที่กระจายศูนย์มากขึ้น ด้วยการบริหารจัดการไฟฟ้าในปริมณฑลของตัวเองได้
ฉะนั้นนโยบายด้านพลังงานไฟฟ้าในอนาคตจะมีหลายเรื่องที่เปลี่ยนไป ประหยัดมากขึ้น ทดแทนมากขึ้น กระจายศูนย์มากขึ้น และมีกลไกตลาดมากขึ้น คือสิ่งใหม่ที่คาดว่าจะทำให้เกิดในอนาคต
สำหรับนโยบาย Energy 4.0 แสดงให้เห็นถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานโดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาพัฒนาเพิ่มศักยภาพการใช้พลังงานในประเทศ เพื่อรองรับการเข้าสู่ Thailand 4.0 ที่จะเป็นการยกระดับการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้นั้น ประกอบไปด้วย 4 แผนการขับเคลื่อน คือ
1.) แผนการขับเคลื่อนภารกิจด้านพลังงานเพื่อส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ในประเทศไทย ซึ่งเป็นพลังงานรูปแบบใหม่มาใช้ทดแทนน้ำมัน
2.) โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities-Clean Energy) ทำให้เกิดการบริหารจัดการพลังงานแบบเบ็ตเสร็จ โดยมีหัวใจสำคัญคือพลังงานทดแทนที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกพื้นที่
3.) โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2559 (Energy Storage Systems) หรือเทคโนโลยีระบบสะสมพลังงานที่มีขนาดใหญ่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานของประเทศไทย ระยะ 20 ปี ดังนั้น Energy Storage Systems เป็นเทคโนโลยีเป้าหมายที่ต้องการผลิตขึ้นใช้เองภายในประเทศ ทำให้การขับเคลื่อน Energy 4.0 ไปได้เร็วขึ้น
4.) การขับเคลื่อนการลงทุนด้านเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Energy) ของประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยมีฐานการผลิตที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เพราะฉะนั้นการผลิตที่ต่อยอดด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อนำเอาสินค้าเกษตรมาแปรรูปให้เป็นพลังงานที่ใช้ได้ หรืออาจจะแปรรูปแล้วได้พลังงานมากกว่าที่ใช้อยู่เดิม คือเรื่องของ Bio Economy เรื่องของเศรษฐกิจฐานชีวภาพ พืชผลทางการเกษตร พืชพลังงาน สามารถนำเอาสายผลิตดังกล่าวมาต่อยอด ทั้งพืชที่ให้แป้งผลิตเอทานอล มันสำปะหลัง อ้อย น้ำตาล แป้ง ทดแทนน้ำมันเบนซิน และพืชให้น้ำมัน ปาล์ม ถั่วเหลือง มะพร้าว นำมาสกัดเป็นไบโอดีเซลทดแทนการใช้น้ำมันดีเซล และนอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดนอกเหนือจากการสกัดเป็นน้ำมัน อย่างเช่น การต่อยอดจากอุตสาหกรรรมน้ำมันปาล์มให้เป็นอุตสาหกรรมไบโอเคมี สกัดเป็นยาหรือเครื่องสำอาง
ดร. ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แนวทางพลังานในอนาคต Energy 4.0 รองรับการพัฒนาประเทศไทยในยุค 4.0 จะเน้นการใช้นวัตกรรมเพื่อที่จะพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยเป็น 2 สายด้านพลังงาน คือ สายพลังงานที่เกี่ยวของกับ Smart Technology คือการนำ ICT เข้ามาบริหารจัดการพลังงานมากขึ้น ระบบนี้จะเกี่ยวข้องกับ Smart Gird ,Smart City ,ยานยนต์ไฟฟ้า และ Energy Storage และพลังงานด้านชีวภาพ เป็นการต่อยอดนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาทำให้พืชพลังงานสามารถที่จะมีมูลค่าเพิ่มได้ นอกเหนือจากการเป็นเพียงแค่ส่วนผสมของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล โดยในอนาคตสามารถที่จะสร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่องสำหรับพืชพลังงานนี้ต่อไปได้
สำหรับ Smart Technology นั้น ปัจจุบันกระทรวงพลังงานมีนโยบายสนับสนุนอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน Charging Stations สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า หรือการประกวดแบบบ้าน Smart City และแผนแม่บทด้านการพัฒนา Smart Gird เพื่อที่จะทำให้เมืองหรือชุมชนสามารถที่จะบริหารจัดการไฟฟ้าเองได้ ซึ่งคาดว่าระบบลักษณะนี้จะทำให้สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของประเทศหรือของชุมชนในระดับดังกล่าวมีสัดส่วนที่สูงขึ้น แต่ต้องมีการเชื่อมกับระบบของการไฟฟ้าฯ เพื่อเข้ามาเสริมระบบที่เป็นระบบ Backup สำหรับการเพิ่มเติมไฟฟ้าในกรณีที่ระบบพลังงานทดแทนของชุมชนนั้นอาจจะไม่ได้ทำงาน เป็นต้น ลักษณะนี้ถือว่าเป็นนโยบายใหม่ ที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถที่จะมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีขึ้น ลดความเสี่ยงจากการกระจายแหล่งเชื้อเพลิง และกระจายอำนาจจากการควบคุมศูนย์แบบส่วนกลางจากการไฟฟ้า ลงมาเป็นระดับชุมชนหรือระดับเมืองผ่านระบบ Smart Gird คาดว่านโยบาย Energy 4.0 จะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และระบบใหม่ๆ รวมทั้งอาจจะมีกฎระเบียบที่จะต้อง แก้ไขเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต
Energy 4.0 ในเรื่องระบบไฟฟ้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ สามารถควบคุมไฟฟ้าได้ด้วยตัวเองมากขึ้นโดยระบบไฟฟ้าที่ควบคุมนั้นอาจจะมีพลังงานทดแทนในสัดส่วนที่สูงขึ้น รวมทั้งยังได้รับการกระจายอำนาจในการที่จะควบคุมไฟฟ้าในปริมณฑลของตัวเอง และมีระบบการใช้พลังงานในหลายๆรูปแบบ ไม่เพียงแต่การใช้พลังงานในบ้าน แต่จะมีระบบไฟฟ้าที่ใช้ในยานยนต์อีกด้วย ซึ่งมี Energy Storage Systems เป็นหัวใจสำคัญ เพราะในอนาคตหากประเทศไทยต้องใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การผลักดันโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนให้เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสหลักของประเทศ ต้องการเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานมาใช้กับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพื่อสร้างเสถียรภาพการจ่ายไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง (Firm) ประเทศไทยควรเตรียมความพร้อมในการพัฒนาเทคโนโลยี Energy Storage ที่เป็นของคนไทยเอง เพื่อลดต้นทุนและทดแทนการนำเข้าเทคโนโลยีดังกล่าว
นอกจากนี้ ผู้ที่ดูแลนโยบายยังมีส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้ Energy 4.0 เกิดขึ้นได้จริง ได้แก่ 1.การแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ เรื่อง Energy 4.0 มีบางเรื่องที่เกี่ยวกับระบบ ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันการซื้อขายไฟฟ้า ประชาชนทั่วไปทำได้ 2 รูปแบบ คือ ผลิตไฟฟ้าเองใช้ไฟฟ้าเอง หรือผลิตได้ต้องขายการไฟฟ้าฯ แต่ในอนาคตอาจจะมีระบบที่ทำให้สามารถซื้อขายไฟฟ้ากันเองระหว่างชุมชนได้ หรือสามารถจำน่ายไฟฟ้ากับผู้อื่นได้ โดยเฉพาะการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับยานยนต์ไฟฟ้า เพราะฉะนั้นการแก้ไขกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องที่ต้องทำ 2.การพัฒนานวัตกรรม ก่อให้เกิดงานวิจัย เพราะว่าในระบบดังกล่าว นโยบาย Energy 4.0 มีความจำเป็นที่ต้องส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆที่เป็นนวัตกรรมเป้าหมายคือ เรื่องระบบสะสมพลังงาน ที่เรียกว่า Energy Storage ซึ่งคือ Power Bank ที่จะทำให้ชุมชนระดับล่างสามารถบริหารจัดการพลังงานเองได้ และมีผลต่อเนื่องช่วยให้สามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และ 3.การปรับปรุงบริหารจัดการเรื่องกำลังคน พัฒนากำลังคน เนื่องด้วยเรื่องของระบบใหม่ ระเบียบใหม่ เทคโนโลยีใหม่ กำลังคนเป็นส่วนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกำลังคนที่เกี่ยวข้องกับการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆหรือที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมระบบ โดยเฉพาะระบบที่เป็น Smart ทั้งหลายต้องมีกำลังคนที่เข้าใจและสามารถที่จะควบคุมได้ ปัจจุบันบุคลากรเหล่านี้มีเฉพาะในการไฟฟ้าฯเท่านั้น ในอนาคตหากสามารถกระจายศูนย์ให้ชุมชนดูแลระบบจัดการพลังงานเอง จำเป็นต้องมีกำลังคนที่มีความรู้เข้ามาบริหารจัดการในส่วนนี้ด้วย
ทั้งนี้ ทิศทางพลังงานประเทศไทยในยุค Thailand 4.0 เริ่มตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน โดยการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 25% หรือ 111 ล้านตันต่อปี จากการประมาณการว่าในปี 2579 ประเทศไทยจะปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 555 ล้านตัน และลดลงความเข้มการใช้พลังงานลง (Energy Intensity) 30% ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ กระจายความเสี่ยง ส่งเสริมให้เกิดกลไกตลาด ราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเกิดการกระจายศูนย์การจัดการพลังงานในระดับชุมชนและครัวเรือนมากขึ้น
------------
ทีนี้คงทราบแล้วนะครับว่าเรื่องพลังงานชีวภาพ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว อยู่ใกล้ๆตัวเรานี่แหล่ะ มาเตรียมพร้อมกับเรื่องพลังงานดังกล่าวไปด้วยกัน เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ลดภาระโลกร้อน ด้วยกันครับ
-----------
สุดท้าย SO OK ขอสรุปสถานการณ์การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ และ พลังงานทดแทนในไทยดังนี้ครับ
ในช่วงปี 2568-2571 ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ตามทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยสัดส่วนการผลิตไฟฟ้านอกระบบจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานหมุนเวียน การคาดการณ์แนวโน้มความต้องการพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยปี 2568-2571 ที่ระบุในบทความเรื่อง ธุรกิจโรงไฟฟ้าปี 2568 : พลังงานหมุนเวียนเติบโต โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องเร่งปรับตัว จาก SCB ยืนยันได้ว่า ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในไทยปีนี้ อยู่ในช่วงขาขึ้นซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
และมาในปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เน้นย้ำการคาดการณ์นี้เพิ่มเติมถึงแนวโน้มความต้องการพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนในบทความเรื่อง ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในไทย เติบโตตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็นปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐ คาดว่าจะอยู่ที่ 23,555 GWh ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมทางด้านนโยบายภาครัฐ โดยจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมรวมเป็นจำนวน 226.9 MW จากปริมาณขายตามสัญญา ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 8 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 3 แห่ง
ขณะที่ สำหรับภาคเอกชน ปริมาณการขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,177 GWh เติบโตจากกฎระเบียบทางการค้าที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป (CBAM ) ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นจากองค์กรเอกชนในโครงการ RE100 ซึ่งรวมถึงธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ก็มีส่วนผลักดันให้การใช้พลังงานสะอาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น จากบทวิเคราะห์นี้ ยังระบุข้อค้นพบในหลายประเด้นที่น่าสนใจด้วย ดังนี้
ชีวมวลยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลัก ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในปี 2568 ไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ คิดรวมกันเป็น 78% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ และ 96% ของการจำหน่ายให้ภาคเอกชน และนอกเหนือจากนี้จะเป็นไฟฟ้าจาก พลังงานลม ขยะ และก๊าซชีวภาพ โดยรวมกันคิดเป็น 22% และ 4% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ และ เอกชนตามลำดับ
โดยชีวมวลยังคงถูกใช้ในการผลิตไฟฟ้ามากที่สุด เนื่องจากมีความเสถียรและยืดหยุ่นด้านการผลิตมากกว่าเชื้อเพลิงหมุนเวียนประเภทอื่นๆ รวมถึงยังมีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ เพราะประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตร ขณะเดียวกัน พลังงานแสงอาทิตย์ ก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างมาก ตามเป้าหมายในร่าง AEDP พ.ศ. 2567-2580 ที่ตั้งเป้าให้ 68% ของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในปี 2580 มาจากพลังงานแสงอาทิตย์
ภาพรวมรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนยังคงเติบโต
ภาพรวมรายได้จากการขายไฟฟ้าได้รับอิทธิพลหลักมาจากไฟฟ้าชีวมวลและแสงอาทิตย์ เนื่องจากเป็นสัดส่วนหลักของไฟฟ้าที่จำหน่ายในตลาดพลังงานหมุนเวียน ทั้งภาครัฐและเอกชน
รายได้รวมจากการขายไฟฟ้าชีวมวลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่เติบโตทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.9% และ 6.5% ตามลำดับ นอกจากนั้น อัตรากำไรขั้นต้น ก็มีแนวโน้มขยายตัว จากต้นทุนที่คาดว่าจะลดลงตามปริมาณเชื้อเพลิงชีวมวลในตลาดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2568 อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมพืชเกษตร คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 2.6 3.6%
อย่างไรก็ตาม ชานอ้อยซึ่งเป็นหนึ่งในเชื้อเพลิงชีวมวลหลัก มักถูกใช้ในโรงไฟฟ้าที่ตั้งโดยบริษัทน้ำตาลเอง ทำให้ผู้ประกอบการรายอื่นต้องใช้วัตถุดิบทางการเกษตร เช่น แกลบ และซังข้าวโพดแทน
ผู้ประกอบการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เตรียมรับโอกาสโตแรง
สำหรับธุรกิจไฟฟ้าแสงอาทิตย์สามารถแยกออกได้เป็นโครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาครัฐ และโครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาคเอกชน โดยโครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาครัฐ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าภายในระยะเวลาสัญญาของแต่ละโครงการค่อนข้างจะมั่นคง เนื่องจากเป็นการขายไฟฟ้าเต็มปริมาณที่ผลิตได้ ทำให้ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับรายได้ต่อการขายไฟต่อหน่วย คือ ราคารับซื้อตามสัญญาของภาครัฐ ซึ่งมีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ 2.1679 บาท/หน่วย ส่งผลให้รายได้ต่อหน่วยจากการขายไฟลดลง อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ราวกว่า 30% สำหรับโครงการที่จะเริ่มดำเนินการซื้อขายในปี 2568
ส่วนรายได้รวมจากการขายไฟฟ้าให้ภาคเอกชน มีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากถึง 41% เนื่องจากผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง หันมาเลือกใช้บริการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Private PPA มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ต้นทุนของผู้ให้บริการก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ตามต้นทุนรวมในการติดตั้ง และ LCOE เฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะลดลง 10% และ 14% ตามลำดับ จากปีที่ผ่านมา
ส่องโอกาสเติบโตของ ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ประเภทอื่นๆ
สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ลม และก๊าซชีวภาพ รายได้จะมาจากการขายให้ภาครัฐเป็นหลัก ดังนั้นแนวโน้มรายได้จึงขึ้นอยู่กับนโยบายพลังงานและการสนับสนุนจากภาครัฐ
และในปี 2568 รายได้รวมของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขยะมีแนวโน้มเติบโต ขณะที่ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และก๊าซชีวภาพยังไม่มีกำหนดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากภาครัฐ โดยโรงไฟฟ้าขยะมีแผนที่จะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบรวม 31.5 MW และมีราคารับซื้อสูงกว่าไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยรัฐบาลจะรับซื้อไฟฟ้าขยะที่ 5.08 บาท/หน่วยพร้อม FiT Premium 0.70 บาท/หน่วย ใน 8 ปีแรก สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก ที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 10 MW และ 3.66 บาท/หน่วย สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่มีกำลังการผลิต 10-50 MW
ชี้ความเสี่ยงของ ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในระยะกลางถึงยาว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของ ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในระยะกลางถึงยาว พร้อมแนะนำวิธีการวางแผนรับมือกับทุกสถานการณ์ ดังนี้
ปัจจุบันผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนยังไม่สามารถขายไฟฟ้าตรงให้ผู้ใช้งานผ่านโครงข่ายภาครัฐ โดยรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นเจ้าของโครงข่ายไฟฟ้า ยังไม่อนุญาตให้เอกชนเช่าใช้ เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ทำให้ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดให้มี Third Party Access (TPA) หรือการอนุญาตให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนหรือผู้ให้บริการพลังงานรายอื่นเข้าถึงและใช้โครงข่ายสายส่งไฟฟ้าของรัฐอย่างเสรี
การแข่งขันกับโครงการไฟฟ้าสีเขียวจากภาครัฐ (UGT) ในตลาดการขายไฟฟ้าให้ภาคเอกชน แม้ว่าการเปิดให้บริการ UGT ในช่วงแรก จะเป็นการขายไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีอยู่เดิมในระบบของการไฟฟ้าฯ เป็นหลัก ทำให้ไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่ในระยะถัดไป จะเริ่มมีการเปิดขายไฟฟ้าชนิดอื่นเพิ่มเติม ทำให้ผลกระทบมีเพิ่มมากขึ้น โดยบริการจากภาครัฐจะมีข้อได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม และความสามารถในการจ่ายไฟฟ้าในปริมาณมากได้อย่างมั่นคง ทำให้ผู้ใช้ไฟภาคเอกชน โดยเฉพาะรายใหญ่ อาจเปลี่ยนมาเลือกใช้บริการ UGT แทนการทำสัญญาซื้อขายแบบ Private PPA ในระยะยาว
การเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน หรือ Waste to Energy (WtE) ในปัจจุบันยังไม่ได้รับการบรรจุใน EU Taxonomy (EU, 2024) ในฐานะพลังงานสีเขียว ซึ่งหมายความว่า WtE จะไม่เข้าข่ายมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ส่งผลให้ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าไปยังยุโรปอาจไม่เลือกใช้ไฟฟ้าจากขยะในฐานะพลังงานสีเขียว เนื่องจากไม่เป็นไปตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ EU กำหนด
------------------------


