สรุปทิศทางน้ำตาลไทยปี 2569-2570

น้ำตาลไทย กับการส่งออก และการบริโภคในประเทศ
การส่งออกของไทย มีสัดส่วนคิดเป็น 70% ของปริมาณจำหน่ายน้ำตาลทั้งหมดของไทย โดยตลาดส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ อินโดนีเซีย (สัดส่วน 34.8% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำตาลทั้งหมด) เกาหลีใต้ (11.7%) กัมพูชา (8.8%) ลาว (7.0%) และฟิลิปปินส์ (6.1%) หากพิจารณาแยกรายผลิตภัณฑ์ในปี 2565 สรุปได้ดังนี้
น้ำตาลทรายดิบ: ปริมาณส่งออก 3.6 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 53.8% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำตาลทั้งหมด โดยตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย (สัดส่วน 59.5% ของปริมาณส่งออกน้ำตาลทรายดิบทั้งหมด) เกาหลีใต้ (18.4%) มาเลเซีย (9.9%) จีน (3.0%) และญี่ปุ่น (2.9%)
น้ำตาลทรายขาว: ปริมาณส่งออก 2.9 ล้านตัน (สัดส่วน 43.8%) ตลาดหลัก ได้แก่ กัมพูชา (19.9% ของปริมาณส่งออกน้ำตาลทรายขาวทั้งหมด) ลาว (14.2%) และฟิลิปปินส์ (12.8%)
กากน้ำตาล: ปริมาณส่งออก 0.2 ล้านตัน (สัดส่วน 2.4%) ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น (61.7% ของปริมาณส่งออกกากน้ำตาลทั้งหมด) ฟิลิปปินส์ (19.0%) และเกาหลีใต้ (16.8%)
ด้านความต้องการบริโภคน้ำตาลในประเทศ (สัดส่วน 30% ของปริมาณจำหน่ายน้ำตาลทั้งหมดของไทย9/) แบ่งเป็นความต้องการของผู้บริโภคโดยตรง 57.8% ที่เหลืออีก 42.2% เป็นความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง (ทางอ้อม) อาทิ เครื่องดื่ม (สัดส่วน 41.3% ของปริมาณการใช้น้ำตาลทรายในอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งหมด) รองลงมาเป็นอาหาร (28.9%) ผลิตภัณฑ์นม (18.4%) และอื่นๆ (11.4%)
แนวโน้มอุตสาหกรรมน้ำตาล
แนวโน้มอุตสาหกรรม
ปี 2567 คาดว่าผลผลิตน้ำตาลโลกจะอยู่ที่ 183.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.2% (คาดการณ์โดย USDA) แรงหนุนจากปริมาณฝนที่คาดว่าจะยังคงเอื้ออำนวยและระดับราคาน้ำตาลที่สูงกว่าเอทานอลทำให้บราซิลเร่งการผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 45.5 ล้านตัน (+19.7%) สวนทางกับผู้ผลิตอันดับรองอย่างอินเดีย ไทย และปากีสถานที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่ทำให้ผลผลิตลดลง ขณะที่ปี 2568-2569 คาดว่าผลผลิตน้ำตาลโลกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย (CAGR) เพียง 0.5-1.5% ต่อปี (คาดการณ์โดยวิจัยกรุงศรี) เนื่องจากคาดว่าบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่จะมีผลผลิตลดลงจากภาวะภัยแล้งที่คาดว่าจะกลับมา ขณะที่ยังมีปัจจัยหนุนจาก การเข้าสู่ภาวะลานีญา (La Niña) ในแถบภูมิภาคของผู้ผลิตน้ำตาลอันดับรองทำให้ได้อานิสงส์ของสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกจากแรงจูงใจด้านราคาที่ปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงหลายปีก่อน และการผลิตเพื่อเป็นสต็อกรองรับความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารและความต้องการในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ขยายตัว
ความต้องการน้ำตาลทรายโลกช่วงปี 2567-2569 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 0.5-1.5% ต่อปี โดยมีแรงหนุนจากการทยอยฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลก และทิศทางของอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม ที่จะกระเตื้องขึ้นตามภาวะการท่องเที่ยวของโลก อย่างไรก็ตามจากผลผลิตน้ำตาลโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับมากกว่าการบริโภคน้ำตาลโลก (ภาพที่ 18) ส่งผลให้แนวโน้มระดับราคาน้ำตาลทรายดิบโลกในปี 2567-2569 เฉลี่ยอยู่ที่ 440-460 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน (20.0-20.9 เซนต์/ปอนด์) ลดลงจาก 530.3 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน (24.1 เซนต์/ปอนด์) ในปี 2566
น้ำตาลและกากน้ำตาลในปี 2568-2569 จะอยู่ที่ 6.7-7.5 ล้านตันต่อปี เพิ่มขึ้น 15.0-20.0% ต่อปี โดยมีแรงหนุนจาก การคลี่คลายของปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบอ้อยจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและการขยายพื้นที่เพาะปลูก ทำให้สามารถผลิตน้ำตาลเพื่อส่งมอบให้กับคู่ค้าได้มากขึ้น ความต้องการจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในประเทศคู่ค้าทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อินเดียซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหญ่มีแนวโน้มลดการส่งออกจากความกังวลผลผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ อีกทั้งยังต้องนำอ้อยไปผลิตเอทานอลมากขึ้นตามนโยบายส่งเสริมการใช้เอทานอล และ ความคืบหน้าของความตกลงการค้า (FTA)18/ เอื้อต่อการขยายช่องทางตลาดส่งออก อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกน้ำตาลของไทยอาจจะยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากบราซิลที่หันมาผลิตน้ำตาลแทนเอทานอลเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั้งในประเทศและตลาดโลก
สรุป
อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยปี 2569-2571 คาดว่าผลผลิตจะดีขึ้นจากปรากฏการณ์ลานีญาและแรงจูงใจราคาอ้อย แต่จะเผชิญความท้าทายจาก ต้นทุนสูง, แข่งขันสูงจากบราซิล, กระแสรักสุขภาพ, และกฎระเบียบภาษีความหวาน โดยตลาดในประเทศเติบโตช้า แต่ตลาดส่งออกมีโอกาสจากความต้องการในอาเซียน ปัจจัยสำคัญคือการบริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับสภาพอากาศและความผันผวนของตลาดโลก และการปรับตัวสู่ความยั่งยืน.
ภาพรวมและแนวโน้ม:
ระยะสั้น (2569-2571): คาดว่าอุตสาหกรรมจะขยายตัว ผลผลิตดีขึ้น (จากลานีญา) หนุนการส่งออก แต่ต้องรับมือความผันผวนและการแข่งขัน.
ระยะกลาง (2567-2568): ฟื้นตัวจากภัยแล้ง คาดการณ์ผลผลิตและส่งออกจะดีขึ้น แต่ต้องระวังการปรับราคาน้ำตาลโลก และต้นทุนสูง.
ปัจจัยขับเคลื่อน:
ด้านอุปทาน (Supply):สภาพอากาศ (ลานีญา) เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก.
ราคาอ้อยที่จูงใจทำให้เกษตรกรขยายการเพาะปลูก.
ด้านอุปสงค์ (Demand):การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวหนุนความต้องการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม.
ตลาดส่งออกหลัก (อาเซียน) ยังมีความต้องการน้ำตาลสูง.
การสนับสนุนจากรัฐ: ช่วยเปิดช่องทางส่งออกและอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์.
ความท้าทายและปัจจัยเสี่ยง:
สภาพอากาศ: ผลกระทบจากเอลนีโญที่อาจลดผลผลิตในอนาคต.
การแข่งขัน: การแข่งขันสูงจากผู้ส่งออกรายใหญ่ (บราซิล).
ต้นทุน: ต้นทุนการเพาะปลูกอ้อยและพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้น.
ภาษีความหวาน: การปรับขึ้นภาษีความหวานกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่ม.
กระแสสุขภาพ: ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น.
โอกาสและความยั่งยืน:
ผลพลอยได้: รายได้จากกากน้ำตาล (ผลิตเอทานอล), ไฟฟ้าชีวมวล, เยื่อกระดาษ.
การสร้างมูลค่า: การพัฒนาคุณภาพสินค้า สร้างแบรนด์ และการดำเนินงานตามแนวทาง ESG (สิ่งแวดล้อม, สังคม, ธรรมาภิบาล).
------
สรุปท้ายสุด อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยมีแนวโน้มเติบโต แต่ต้องปรับตัวรับมือความผันผวนของราคาโลก สภาพอากาศ และกระแสรักสุขภาพ โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การขยายตลาด และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลพลอยได้.
-----
