Share

โมลาส By Product จากอุตสาหกรรมน้ำตาล คุณประโยชน์ อรรถประโยชน์มากมาย by SO OK Trading

Last updated: 15 Dec 2025
44 Views

ทำความรู้จัก กากน้ำตาล

กากน้ำตาล (อังกฤษ: molasses, /məˈlæsɪz, moʊ-/, "โมลาส" หรือ black treacle) มีรากศัพท์มาจากคำว่า melaço ในภาษาโปรตุเกส  ,กากน้ำตาลเป็นของเหลวลักษณะเหนียวข้นสีน้ำตาลดำ ที่เป็นผลพลอยจากการผลิตน้ำตาลทราย ซึ่งไม่สามารถจะตกผลึกน้ำตาลได้อีก เป็นเนื้อของสิ่งที่ไม่ใช่น้ำตาลที่ละลายปนอยู่ในน้ำอ้อย ซึ่งประกอบด้วยน้ำตาลซูโครส น้ำตาลอินเวิร์ต (invert sugar) และสารเคมี เช่น ปูนขาว ที่ใช้ในการตกตะกอนให้น้ำอ้อยใส กากน้ำตาลมีระดับพลังงานระดับต่ำถึงปานกลางขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำที่มีอยู่ในกากน้ำตาล มีโพแทสเซียม และมีปริมาณน้ำในระดับสูง ทำให้เกิดเชื้อราได้ง่าย กากน้ำตาลแบ่งได้หลายชนิด

ชนิดของกากน้ำตาล
1) กากน้ำตาลจากอ้อย : เกิดจากกรรมวิธีการผลิตน้ำตาลทรายจากอ้อยโดยเริ่มจากการนำอ้อยเข้าหีบได้น้ำอ้อย กรองเอากากออกจากน้ำอ้อยแล้วเคี่ยวน้ำอ้อยจนได้ผลึกของน้ำตาลทรายตกตะกอนออกมา แยกผลึกน้ำตาลทรายด้วยหม้อปั่น ผลพลอยได้จะมี ขี้ตะกอน กากอ้อย และ กากน้ำตาล
2) กากน้ำตาลจากหัวบีท : เป็นผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลจากหัวบีท
3) กากน้ำตาลจากส้ม : น้ำตาลที่ได้จากส้มมีกลิ่นและรสต่างจากกากน้ำตาลอ้อย
4) กากน้ำตาลจากข้าวโพด : กากน้ำตาลจากข้าวโพด มีน้ำตาลมากกว่า 48 เปอร์เซ็นต์ หวานและหอมกว่าน้ำตาลอ้อย
5) กากน้ำตาลจากไม้ : เป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมกระดาษ

ประโยชน์และส่วนประกอบของกากน้ำตาล
ประโยชน์ของกากน้ำตาลสามารถใช้ได้ในหลายอุตสหกรรมเช่น ใช้ทำปุ๋ย ใช้เลี้ยงสัตว์ใช้ผลิตแอลกอฮอล์ ใช้ในอุตสาหกรรมยีสต์ ใช้ทำผงชูรส และใช้ทำกรดน้ำส้ม แต่ส่วนใหญ่จะใช้ผลิตแอลกอฮอล์ และใช้เป็นอาหารสัตว์ สำหรับในประเทศไทยส่วนใหญ่จะใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแอลกอฮอล์สำหรับการผลิตสุรา และการผลิตเอทานอล เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตแก๊สโซฮอล์ นอกจากนี้ ยังใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตผงชูรส อุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมการผลิตยีสต์ ตลอดจนการนำกากน้ำตาลไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมรายย่อยต่าง ๆ เช่น นำกากน้ำตาลไปใช้หมักทำปุ๋ยน้ำ ใช้ทำน้ำสกัดชีวภาพ ใช้เพาะเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ เพื่อใช้ในฟาร์มกุ้ง ตลอดจนใช้ในการบำบัดน้ำทิ้ง

ผลิตภัณฑ์ที่มีกากน้ำตาลเป็นส่วนผสม
เหล้ารัม: เป็นสุรากลั่นที่ผลิตจากวัตถุดิบจำพวกน้ำอ้อย น้ำเชื่อมของน้ำผลไม้และกากน้ำตาล
เหล้ายิน: หรือ "ไดร์ยิน โดยการนำกากน้ำตาลที่ทำให้บริสุทธิ์ไปหมักและกลั่น
น้ำส้มสายชู: ได้จากการหมักกากน้ำตาล
ซีอิ๊วดำ: ทำจากซีอิ๊วขาวผสมกับกากน้ำตาล แล้วนำไปต้มจนได้ความเข้มข้นพอเหมาะ สามารถนำไปใช้สำหรับปรุงอาหาร
อาหารสัตว์: กากน้ำตาลใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องเช่น วัว ควาย แพะ เพราะกากน้ำตาลจะช่วยเพิ่มรสชาติแก่อาหารสัตว์แล้วยังช่วยกระตุ้นการทำงานของบัคเตรีในกระเพาะซึ่งจะช่วยย่อยอาหารหยาบ เช่น ยอดอ้อย ฟางข้าว การใช้กากน้ำตาลเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเพิ่มความน่ากิน ลดฝุ่นและเพื่อยึดเม็ดอาหารให้แน่นขึ้น หรือใช้เป็นพาหะสำหรับยา
แอลกอฮอล์: โดยนำเอากากน้ำตาลมาทำให้เจือจางด้วยน้ำแล้วหมักโดยอาศัยเชื้อยีสต์เปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นแอลกอฮอล์ จากนั้นก็นำมากลั่นแยกแอลกอฮอล์ออกซึ่งจะได้แอลกอฮอล์ที่มีความบริสุทธ์ประมาณ 95% ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ได้แตกต่างกันไปตามคุณภาพของกากน้ำตาล ตลอดจนกรรมวิธีการผลิตแอลกอฮอล์ของโรงงานนั้น โดยกากน้ำตาลหนัก 1 ตันจะให้แอลกอฮอล์ประมาณ 238-340 ลิตร
ผลิตไฟฟ้า: โดยการย่อยสลายสารอินทรีย์จากกากน้ำตาลในบ่อหมักจะได้ก๊าซชีวภาพออกมา ซึ่งประกอบด้วยก๊าซหลัก ได้แก่ แก๊สมีเทน 65% เป็นก๊าซติดไฟ ให้ความร้อน 9,000 กิโลแคลอรีต่อลูกบาศก์เมตร ร่วมกับคาร์บอนไดออกไซด์ 35% และก๊าซอื่น ๆ เช่น ก๊าซไข่เน่า ก๊าซไนโตรเจน และความชื้น

-----------------

กากน้ำตาล วัตถุดิบ สารพัดประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรม, เกษตรกรรม, เชื้อเพลิง

กากน้ำตาลคืออะไร?
กากน้ำตาล (Molasses) คือผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลทรายที่หลายคนอาจมองว่าเป็น ของเหลือ แต่แท้จริงแล้วMolassesเป็นของเหลวที่มีคุณค่ามากมาย เนื่องจากภายในยังคงมีปริมาณน้ำตาล แร่ธาตุ และสารอาหารที่หลงเหลืออยู่ในระดับสูง

Molasses มักได้มาจาก อ้อย หรือ หัวบีทรูท ผ่านกระบวนการสกัดน้ำตาล เมื่อผลผลิตเหล่านี้ถูกบดและเคี่ยวเพื่อนำน้ำตาลออกไป จะเหลือสารละลายเหนียวข้นที่มีลักษณะเป็นของเหลวหนืด สีน้ำตาลเข้มถึงดำ รสชาติหวานจัดปนขมเล็กน้อย และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แตกต่างจากน้ำตาลทรายทั่วไปที่ถูกทำให้บริสุทธิ์แล้ว

คุณสมบัติทางกายภาพที่โดดเด่นของMolassesได้แก่:

เนื้อสัมผัสหนืดข้น คล้ายคาราเมลหรือน้ำเชื่อมเข้มข้น
สีเข้ม ตั้งแต่สีน้ำตาลแดงจนถึงดำ ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งในการสกัด
รสชาติหวานปนขม ทำให้เหมาะกับการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบหมักหรือปรุงแต่งอาหารสัตว์
กลิ่นเฉพาะตัว ที่เกิดจากการเคี่ยวในอุณหภูมิสูง
ถึงแม้ว่า Molasses จะถูกมองว่าเป็นของเหลือจากการผลิต แต่ในมุมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Molasses ถือเป็น วัตถุดิบต้นทุนต่ำที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพราะสามารถนำไปใช้ได้หลายด้าน ตั้งแต่ เกษตรกรรม เช่น การทำปุ๋ยหมักและปรับปรุงดิน, ปศุสัตว์ เช่น การเพิ่มพลังงานในอาหารสัตว์, อุตสาหกรรม เช่น การหมักแอลกอฮอล์และผลิตยีสต์ ไปจนถึง สิ่งแวดล้อม เช่น การบำบัดน้ำเสียและรักษาสมดุลระบบนิเวศในฟาร์มกุ้ง

กล่าวได้ว่า Molasses คือ ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในกองของเหลือ เพราะนอกจากจะช่วยลดการสูญเสียวัตถุดิบจากโรงงานน้ำตาลแล้ว ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหลายธุรกิจอย่างยั่งยืน และเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนแนวคิด Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่เปลี่ยนของเหลือทิ้งให้กลายเป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่า

ประเภทของกากน้ำตาล
Molasses ไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว แต่สามารถแบ่งออกได้ตาม จำนวนครั้งที่ผ่านกระบวนการสกัดน้ำตาล และ ระดับความเข้มข้นของน้ำตาลที่เหลืออยู่ แต่ละชนิดมีลักษณะ สี รสชาติ และการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้:

1. Light Molasses (กากน้ำตาลชนิดอ่อน)
Molasses ชนิดนี้ได้จาก การสกัดน้ำตาลครั้งแรก หลังจากที่น้ำอ้อยหรือหัวบีทรูทถูกเคี่ยวและแยกน้ำตาลทรายออกมาแล้ว ของเหลวที่เหลืออยู่ยังคงมีน้ำตาลในปริมาณสูง เนื้อสัมผัสจะไม่หนืดมากนักเมื่อเทียบกับชนิดอื่น

คุณสมบัติเด่น:

สีค่อนข้างอ่อน ออกน้ำตาลทองหรือสีน้ำตาลอ่อน
รสชาติหวานจัด มีกลิ่นหอมคล้ายคาราเมล
ความเข้มข้นของน้ำตาลสูงกว่าชนิดอื่น
การใช้งานที่เหมาะสม:

ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การทำขนมปัง คุกกี้ ซอสบาร์บีคิว หรือขนมหวานบางชนิด
นิยมใช้ผสมในอาหารสัตว์ เนื่องจากมีรสชาติหวาน ทำให้อาหารน่ากินและเพิ่มพลังงานได้ดี
2. Dark Molasses (กากน้ำตาลเข้ม)
เกิดจาก การสกัดครั้งที่สอง หลังจากน้ำตาลส่วนใหญ่ถูกแยกออกไปแล้ว Molasses ชนิดนี้จะมีความเข้มข้นมากขึ้น รสชาติหวานน้อยลง แต่กลับมีรสขมปนและกลิ่นที่แรงกว่า

คุณสมบัติเด่น:

สีเข้มขึ้นกว่าชนิด Light มักเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ
รสชาติหวานปนขม มีกลิ่นเฉพาะตัว
ความหนืดมากขึ้นและมีแร่ธาตุหลงเหลือมากกว่าMolasses อ่อน
การใช้งานที่เหมาะสม:

ใช้ในการหมักเพื่อผลิตปุ๋ยชีวภาพและน้ำหมักจุลินทรีย์ (EM)
นิยมใช้ในอุตสาหกรรมหมัก เช่น การผลิตเบียร์หรือไวน์ท้องถิ่น
ใช้เป็นวัตถุดิบเสริมในอาหารสัตว์ โดยเฉพาะในฟาร์มโคนมและโคขุน
3. Blackstrap Molasses (แบล็คสแตร็ป)
เป็นMolassesที่ได้จาก การสกัดครั้งสุดท้าย จึงมีความเข้มข้นสูงที่สุด และมีสีดำเข้มจนเกือบดำสนิท เนื้อสัมผัสหนืดและข้นมาก รสชาติออกขมจัดกว่าชนิดอื่น แต่กลับเป็นชนิดที่ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุด เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิด เช่น แคลเซียม, โพแทสเซียม, แมกนีเซียม และเหล็ก

คุณสมบัติเด่น:

สีดำเข้ม ข้นเหนียวมาก
รสขมปนเค็มเล็กน้อย ไม่หวานจัด
อุดมด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต
การใช้งานที่เหมาะสม:

ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต เอทานอลและแอลกอฮอล์
ใช้เป็นแหล่งพลังงานราคาถูกในอาหารสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์เคี้ยวเอื้อง
ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตยีสต์, ผงชูรส (MSG), และกรดอินทรีย์
ใช้ในระบบบำบัดน้ำเสียและฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อเลี้ยงจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์


การเปรียบเทียบกากน้ำตาลแต่ละประเภท
Molasses แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในด้าน สี รสชาติ ปริมาณน้ำตาล และสารอาหารที่เหลืออยู่ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเลือกใช้งานในอุตสาหกรรมที่ต่างกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเลือกใช้Molassesได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด

Light Molasses (กากน้ำตาลชนิดอ่อน)
สี: สีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลทอง ลักษณะใสกว่าชนิดอื่น
รสชาติ: หวานจัด เนื่องจากยังมีปริมาณน้ำตาลสูง
ปริมาณน้ำตาล: สูงที่สุดในบรรดาMolassesทั้งหมด
การใช้งานหลัก: เหมาะสำหรับ อุตสาหกรรมอาหาร เช่น ขนมปัง ขนมหวาน ซอสต่าง ๆ
ใช้ผสมใน อาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มพลังงานและทำให้สัตว์กินอาหารได้มากขึ้น
บางครั้งยังใช้ใน ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และการปรุงแต่งรสชาติ
ข้อดี: หวานหอม ใช้งานได้หลากหลาย เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการรสชาติหวาน
ข้อจำกัด: ราคามักสูงกว่าชนิดอื่น เนื่องจากเป็นMolassesคุณภาพสูงและเหลือน้อยจากกระบวนการผลิต

Dark Molasses (กากน้ำตาลเข้ม)
สี: สีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ ข้นเหนียวกว่า Light Molasses
รสชาติ: หวานปนขม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
ปริมาณน้ำตาล: ปานกลาง น้ำตาลลดลง แต่มีแร่ธาตุเพิ่มขึ้น
การใช้งานหลัก: นิยมใช้ใน การหมักจุลินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ เพราะมีน้ำตาลพอเหมาะและแร่ธาตุที่ช่วยจุลินทรีย์เติบโต
ใช้ใน อุตสาหกรรมการหมัก เช่น การผลิตเบียร์ ไวน์ท้องถิ่น หรือน้ำส้มสายชูหมัก
ใช้เป็นส่วนผสมใน อาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
ข้อดี: มีสมดุลระหว่างน้ำตาลและแร่ธาตุ เหมาะกับการใช้งานเชิงอุตสาหกรรมและเกษตร
ข้อจำกัด: รสขมปน อาจไม่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องการรสชาติหวานแท้

Blackstrap Molasses
สี: ดำเข้มเกือบสนิท มีความหนืดและข้นมาก
รสชาติ: ขมจัด ออกเค็มเล็กน้อย รสชาติซับซ้อน ไม่เหมาะกับการบริโภคโดยตรง
ปริมาณน้ำตาล: ต่ำที่สุด แต่กลับมีปริมาณ แร่ธาตุสูงที่สุด เช่น แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม และโพแทสเซียม
การใช้งานหลัก: ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญใน การผลิตเอทานอลและแอลกอฮอล์
นิยมใช้ใน อาหารสัตว์ โดยเฉพาะโคนมและโคเนื้อ เพื่อเสริมพลังงานราคาประหยัด
ใช้ใน อุตสาหกรรมยีสต์ ผงชูรส และกรดอินทรีย์
ใช้ใน ระบบบำบัดน้ำเสีย หรือ ฟาร์มกุ้ง เพื่อเลี้ยงจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และปรับสมดุลระบบนิเวศ
ข้อดี: ราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับMolassesชนิดอื่น และอุดมด้วยแร่ธาตุสูง
ข้อจำกัด: รสชาติขม ไม่เหมาะกับอุตสาหกรรมอาหารโดยตรง

สรุปการใช้งานโมลาส


หากต้องการใช้ใน อุตสาหกรรมอาหาร เลือก Light Molasses เพราะรสหวานและกลิ่นหอมชวนกิน
หากเน้นใช้ใน การเกษตรและปุ๋ยหมัก Dark Molasses เป็นตัวเลือกที่ลงตัวที่สุด
หากต้องการใช้ใน อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ อาหารสัตว์ราคาประหยัด หรือการบำบัดน้ำเสีย Blackstrap Molasses คือคำตอบที่คุ้มค่า

ส่วนประกอบทางโภชนาการของโมลาส
Molasses ประกอบไปด้วยน้ำตาลซูโครส กลูโคส และฟรุกโตส ในสัดส่วนต่างกัน นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ เช่น
โพแทสเซียม: ช่วยในการเจริญเติบโตของพืช
แคลเซียม: เสริมสร้างความแข็งแรงให้ดินและสิ่งมีชีวิต
แมกนีเซียมและเหล็ก: สำคัญต่อการสร้างคลอโรฟิลล์และกระบวนการเผาผลาญ
Molasses ยังมีค่า pH เป็นกรดอ่อน จึงช่วยยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด และเหมาะสมกับการนำไปใช้ในกระบวนการหมัก

การใช้งานกากน้ำตาลในอุตสาหกรรมต่างๆ
1. กากน้ำตาลเพื่อการเกษตร : หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของMolassesคือการนำมาใช้ในการทำ ปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือ EM (Effective Microorganisms) เนื่องจาก Molasses มีน้ำตาลสูง จึงเป็นอาหารชั้นดีของจุลินทรีย์ เมื่อผสมกับเศษพืช เศษอาหาร หรือมูลสัตว์ จะช่วยเร่งกระบวนการหมัก ทำให้ได้ปุ๋ยหมักที่มีคุณภาพ ช่วยบำรุงดินและเพิ่มผลผลิต

ตัวอย่างการใช้:
ผสม Molasses 1 ส่วนต่อน้ำ 10 ส่วน
นำไปคลุกกับวัสดุทำปุ๋ยหมัก เช่น เศษหญ้า แกลบ ฟางข้าว
ทิ้งไว้ 1-2 เดือน จะได้ปุ๋ยหมักที่มีจุลินทรีย์สูง
นอกจากนี้ Molasses ยังสามารถใช้ ปรับปรุงสภาพดิน ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุ และกระตุ้นการเจริญของพืชได้เป็นอย่างดี

2. Molasses ในอาหารสัตว์
เกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ สุกร หรือสัตว์เคี้ยวเอื้อง นิยมใช้ Molasses เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ เพราะมีคุณสมบัติหลายประการ เช่น

เพิ่มพลังงานให้สัตว์
ช่วยเพิ่มรสชาติ ทำให้อาหารน่ากินมากขึ้น
ลดฝุ่นผงในอาหารสัตว์แห้ง
ส่งเสริมการย่อยอาหารและระบบหมักในกระเพาะโค
โดยทั่วไปมักใช้ผสมในปริมาณ 5-10% ของอาหารสัตว์ทั้งหมด เพื่อเสริมคุณค่าทางโภชนาการ

3. Molasses ในการผลิตแอลกอฮอล์และเอทานอล
Molasses เป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการ ผลิตเอทานอล (Ethanol) และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูงที่เหมาะสมต่อการหมักโดยยีสต์ กระบวนการนี้สามารถผลิตได้ทั้งแอลกอฮอล์สำหรับใช้ในเชื้อเพลิงชีวภาพ และแอลกอฮอล์สำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ยา และเครื่องสำอาง

4. Molasses ในอุตสาหกรรมยีสต์และผงชูรส
ในกระบวนการเลี้ยงยีสต์หรือการผลิตผงชูรส (MSG) Molasses ถูกใช้เป็นแหล่งอาหารหลักของจุลินทรีย์ เพราะมีทั้งน้ำตาลและสารอาหารที่ย่อยง่าย ส่งผลให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพสูง

5. Molasses ในฟาร์มกุ้งและบำบัดน้ำเสีย
ในฟาร์มกุ้งและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ Molasses มักถูกใช้เพื่อ เลี้ยงจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในน้ำ ทำให้ระบบนิเวศภายในบ่อมีความสมดุล ลดสารพิษ เช่น แอมโมเนีย และช่วยเพิ่มคุณภาพน้ำ

นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ในระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อลดค่า BOD และ COD โดยการกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายของเสียในน้ำ

ข้อควรระวังในการใช้กากน้ำตาล
แม้ว่า Molasses จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังที่ควรทราบ เช่น:

Molasses มีความชื้นสูง หากเก็บรักษาไม่ดีอาจเกิดเชื้อราได้
ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจทำให้ดินหรืออาหารสัตว์เสียสมดุล
ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนสารที่เป็นอันตราย

ทิศทางในอนาคตการใช้งานโมลาสในประเทศไทย


ทิศทางอนาคตของโมลาส (กากน้ำตาล) ในไทยและทั่วโลกจะเน้นการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากขึ้น โดยเฉพาะ พลังงานชีวภาพ (เอทานอล, ไฟฟ้าชีวมวล) และ ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (อาหารสัตว์, อาหารเสริม, ไบโอพลาสติก) แม้ปริมาณผลผลิตอาจผันผวนตามสภาพอากาศ แต่ความต้องการยังคงสูง จากนโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาดและการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-economy) ที่ส่งเสริมการใช้ทรัพรียากรเหลือใช้ให้คุ้มค่าสูงสุด. 

แนวโน้มการใช้งานในอนาคต:
พลังงานชีวภาพ:เอทานอล: เป็นการใช้หลักในไทยเพื่อผลิตแก๊สโซฮอล์ ซึ่งยังเติบโตต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล.
ไฟฟ้าชีวมวล: ใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดและช่วยลดต้นทุนพลังงาน.
ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products):อาหารและเครื่องดื่ม: ใช้ผลิตยีสต์, ซีอิ๊วดำ, ผงชูรส, และเป็นส่วนผสมในขนมอบ/เครื่องดื่ม.
อาหารสัตว์: เพิ่มโภชนาการและพลังงานในอาหารสัตว์.
ผลิตภัณฑ์สุขภาพ: สกัดสารสำคัญ เช่น FOS (Fructo-Oligosaccharide) สำหรับอาหารเสริม.
ไบโอพลาสติก & สารเคมีชีวภาพ: พัฒนาไปสู่การผลิต Bioplastics และสารเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม.
การเกษตรอินทรีย์:ปุ๋ยและสารชีวภาพ: ใช้ทำปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพเร่งการเจริญเติบโตและเพิ่มคุณภาพผลผลิต, ช่วยให้พืชหวานขึ้น.
การประยุกต์ใช้ในครัวเรือน: ทำความสะอาด, กำจัดแมลง, เร่งการย่อยสลาย. 
ปัจจัยขับเคลื่อนและท้าทาย:
ปัจจัยหนุน: นโยบายพลังงานสะอาด, การเติบโตของเศรษฐกิจชีวภาพ, ความต้องการผลิตภัณฑ์สุขภาพ, การพัฒนาเทคโนโลยี.
ความท้าทาย: ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ (อ้อย), ผลกระทบจากภัยแล้ง (เอลนีโญ), และการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าที่อาจลดการใช้น้ำมันในระยะยาว. 
โดยรวมแล้ว โมลาสกำลังเปลี่ยนบทบาทจากแค่ผลพลอยได้ สู่การเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะด้านพลังงานและผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง

-----------------


This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy and Cookies Policy
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy