Share

เกร็ดความรู้ ผลไม้ไทย By So Ok

Last updated: 13 Dec 2025
197 Views

ผลไม้เศรษฐกิจหลักของไทยปี 2568 ผลผลิตพุ่ง กดราคาลดลงแรง ฉุดยอดขายรวมหดตัว 4.8%

ผลไม้เศรษฐกิจหลักของไทยปี 2568 ผลผลิตพุ่ง กดราคาลดลงแรง ฉุดยอดขายรวมหดตัว 4.8%
  

​        ในปี 2568 ปริมาณผลผลิตผลไม้เศรษฐกิจหลักของไทย คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 21.8% ไปอยู่ที่ 3.66 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตกว่า 1.2 เท่า โดยมีแรงหนุนหลักจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น 6.1%  


ยอดขายผลไม้เศรษฐกิจหลักของไทยในปี 2568 คาดว่าจะลดลง 4.8% จากแรงฉุดด้านราคาเป็นหลัก โดยแบ่งเป็นยอดขายจากการส่งออกลดลง 6% และยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นไม่มากราว 0.3%
ยอดขายจากการส่งออกจะเป็นปัจจัยฉุดสำคัญต่อยอดขายรวม เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดจีนในสัดส่วนสูง ทำให้ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งในจีน และมาตรฐานด้านสารปนเปื้อนในผลไม้ของจีนที่เข้มงวดขึ้น   
ผลผลิตผลไม้เศรษฐกิจหลักของไทยปี 2568 จะเป็นอย่างไร? ท่ามกลางสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยมากขึ้น

        ในปี 2568 ผลผลิตผลไม้เศรษฐกิจหลักของไทยเพิ่มขึ้นถึง 21.8% จากแรงหนุนของปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น 6.1% โดยบทความนี้จะวิเคราะห์ในผลไม้ 3 รายการหลักของไทยคือ ทุเรียน ลำไย และมังคุด ซึ่งรวมคิดเป็น 76% ของผลผลิตผลไม้ทั้งหมด และจะวิเคราะห์เป็นผลไม้สดเท่านั้น (80% บริโภคเป็นผลสด)
        ทั้งนี้ ไทยได้เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลผลไม้ที่ทยอยจำหน่ายออกสู่ตลาดจำนวนมากตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งทั้งปี 2568 ปริมาณผลผลิตผลไม้หลักคาดว่าจะเพิ่มขึ้นทุกรายการ โดยทุเรียนเพิ่มขึ้น 30.7% ลำไยเพิ่มขึ้น 10.8% และมังคุดเพิ่มขึ้น 35.1% ทำให้ผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 21.8% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 2563-2566) กว่า 1.2 เท่า (รูปที่ 1) 
        แรงหนุนสำคัญที่ทำให้ผลผลิตเพิ่ม มาจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยมากขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณฝนเฉลี่ยของไทยในปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.1% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยปี 2563-2567 อยู่ 5.5% และมากกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปีถึง 9.3% (รูปที่ 2)     
   
 
ผลผลิตผลไม้ที่ล้นตลาดจำนวนมาก ส่งผลต่อราคาอย่างไร?

        ในปี 2568 ผลผลิตผลไม้เพิ่มขึ้นมาก สวนทางกับความต้องการบริโภคที่มีจำกัด ทำให้ผลผลิตส่วนเกินมีมากขึ้น ส่งผลให้ราคาผลไม้ปรับลดลง โดยผลผลิตผลไม้สดส่วนเกิน  มีมากขึ้นทุกรายการในปี 2568 ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตหลายเท่า (รูปที่ 3)  
 
ยอดขายผลไม้เศรษฐกิจหลักของไทยในปี 2568 จะได้รับผลกระทบอย่างไร?

        ในปี 2568 ยอดขายผลไม้สดเศรษฐกิจหลักของไทย คาดว่าโดยรวมจะลดลง 4.8% ไปอยู่ที่ 204,146 ล้านบาท (รูปที่ 4) โดยแรงฉุดสำคัญมาจากยอดขายจากการส่งออกที่ลดลง ทั้งนี้ ยอดขายรวมแบ่งออกเป็น ยอดขายจากการส่งออกและยอดขายในประเทศ ดังนี้

ยอดขายจากการส่งออก    

        ในปี 2568 ยอดขายจากการส่งออกผลไม้สด คาดว่าจะลดลง 6% ตามราคาที่ลดลงเป็นหลัก จากความเสี่ยงที่ไทยพึ่งพาตลาดจีนในสัดส่วนสูง โดยสัดส่วนปริมาณที่ไทยส่งออกทุเรียนสดไปจีนอยู่ที่ราว 97% ลำไยสด 73% และมังคุดสด 31% (ข้อมูลปี 2567) ทำให้ความต้องการจากจีนจะส่งผลต่อยอดขายผลไม้ของไทยอย่างมาก
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญจากการส่งออกของไทยไปตลาดจีน คือ คู่แข่งของไทยแย่งส่วนแบ่งตลาดในจีนมากขึ้น สะท้อนจาก จีนนำเข้าผลไม้สดจากคู่แข่งอย่างเวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่นำเข้าจากไทยในสัดส่วนลดลง (รูปที่ 5) และมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหารของจีนที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะมาตรการควบคุมการปนเปื้อนสารห้ามใช้ในทุเรียนผลสด เช่น สาร BY2 (Basic Yellow 2) และแคดเมียม (Cadmium) จะกดดันให้ไทยส่งออกไปจีนได้ยากขึ้น
 
ยอดขายในประเทศ    

        ในปี 2568 ยอดขายผลไม้สดในประเทศ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่มากราว 0.3% จากความต้องการบริโภคและกำลังซื้อที่มีจำกัดตามภาวะเศรษฐกิจของไทยที่เติบโตชะลอลง ขณะที่ผู้บริโภคชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวไทยมีแนวโน้มลดลงในปีนี้ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศในหมวดผลไม้ทั้งหมดปี 2568 คาดว่าจะโตชะลอลงจากปี 2567 ที่โต 5.4%

------------

ทิศทางผลไม้ไทย แหล่งปลูกและ ทิศทางการส่งออกในอนาคต

ภาพรวมไม้ผล 6 ชนิดของไทย ปี 2568 ผลผลิตเพิ่มขึ้น คาด ทุเรียนปีนี้ ผลผลิต 1.682 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11% ขณะที่ลิ้นจี่ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นถึง 161% #OAE_Navigator #สศก
นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยถึงผลพยากรณ์ภาพรวมการผลิตไม้ผล 6 ชนิด ปี2568 ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ลำไย และลิ้นจี่ โดยที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพข้อมูลปริมาณการผลิตสินค้าเกษตร ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งมีนางสาวภัทราภรณ์ โสเจยยะ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ได้พิจารณาและเห็นชอบข้อมูลไม้ผลทั้ง 6 ชนิด โดยมีรายละเอียดภาพรวมทั้งประเทศ (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2568) ดังนี้
ทุเรียน ปี 2568 เนื้อที่ให้ผล 1,265,701 ไร่ เพิ่มขึ้นจาก 1,138,475 ไร่ (เพิ่มขึ้น 127,226 ไร่ หรือร้อยละ 11.18) ผลผลิต 1,682,484 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,287,048 ตัน (เพิ่มขึ้น 395,436 ตัน หรือร้อยละ 30.72) ผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผล 1,329 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจาก 1,131 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้น 198 กิโลกรัมต่อไร่ หรือร้อยละ 17.51) สำหรับเนื้อที่ให้ผลทั้งประเทศเพิ่มขึ้นในทุกภาค เนื่องจากต้นทุเรียนที่เกษตรกรขยายเนี้อที่ปลูกในปี 2563 โดยเฉพาะแหล่งผลิตที่สำคัญในภาคกลาง เช่นจังหวัดจันทบุรี ระยอง และตราด เกษตรกรปลูกทดแทนยางพาราและไม้ผลอื่น สำหรับในภาคใต้ เช่น จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และยะลา เกษตรกรปลูกทดแทนกาแฟ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ไม้ผลอื่นๆ และปลูกเพิ่มในพื้นที่ว่างเริ่มให้ผลผลิตได้ในปีนี้เป็นปีแรก สำหรับผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลคาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผล โดยในปี 2567 แหล่งผลิตสำคัญในภาคกลาง ทุเรียนได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน ฝนทิ้งช่วงนานและอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ทำให้ทุเรียนติดผลน้อยจึงได้พักต้นสะสมอาหาร อีกทั้งต้นทุเรียนส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุที่ให้ผลผลิตสูง และเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่มีผลตอบแทนสูงจึงจูงใจต่อการลงทุน เกษตรกรมีการดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น และแหล่งผลิตทางภาคใต้ในปี 2568 สภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผลมากกว่าปี 2567 ที่มีอากาศร้อนมาก และฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ประกอบกับเกษตรกรดูแลจัดการสวนดี และจัดหาแหล่งน้ำได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตในภาพรวมคาดว่าเพิ่มขึ้นด้วย
ลำไย ปี 2568 เนื้อที่ให้ผล 1,645,810 ไร่ เพิ่มขึ้นจาก 1,644,559 ไร่ (เพิ่มขึ้น 1,251 ไร่ หรือร้อยละ 0.08) ผลผลิต 1,573,862 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,420,292 ตัน (เพิ่มขึ้น 153,570 ตัน หรือร้อยละ 10.81) ผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผล 956 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจาก 864 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้น 92 กิโลกรัมต่อไร่ หรือร้อยละ 10.65) สำหรับเนื้อที่ให้ผลคาดว่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว จากลำไยที่ปลูกในปี 2565 ในแหล่งผลิตสำคัญในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งปลูกเพิ่มแทนต้นลำไยที่อายุมากให้ผลผลิตต่ำ ลิ้นจี่ ยางพารา และมันสำปะหลัง เริ่มให้ผลผลิตในปีนี้ สำหรับผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นเพียงพอตั้งแต่ปลายปี 2567 จนถึงต้นปี 2568 และอบอุ่นในช่วงกลางวัน ซึ่งช่วยเอื้ออำนวยต่อการแทงช่อดอกเป็นจำนวนมาก ประกอบกับในปีที่แล้วลำไยราคาดี จึงจูงใจให้เกษตรกรใช้สารกระตุ้นการออกดอกและดูแลบำรุงต้นลำไยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
มังคุด ปี 2568 เนื้อที่ให้ผล 393,277 ไร่ ลดลงจาก 399,020 ไร่ (ลดลง 5,743 ไร่ หรือร้อยละ 1.44) ผลผลิต 407,634 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 301,649 ตัน (เพิ่มขึ้น 105,985 ตัน หรือร้อยละ 35.14) ผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผล 1,037 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจาก 756 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้น 281 กิโลกรัมต่อไร่ หรือร้อยละ 37.17) สำหรับภาพรวมเนื้อที่ให้ผลทั้งประเทศคาดว่าลดลง เนื่องจากราคามังคุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดีอย่างต่อเนื่อง ผลตอบแทนของมังคุดที่เกษตรกรได้รับไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนจากมังคุดที่ไม่ได้คุณภาพส่งผลให้เกษตรกรโค่นต้นมังคุดที่ปลูกผสมกับทุเรียนและไม้ผลอื่น เพื่อเน้นดูแลทุเรียน และไม้ผลหลักอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า สำหรับผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลคาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากปีที่แล้วมังคุดออกดอกและติดผลน้อย จึงมีการพักต้นเพื่อสะสมอาหาร ปีนี้ต้นมังคุดสมบูรณ์มากขึ้น อีกทั้งในปีนี้สภาพอากาศคาดว่าเอื้ออำนวยต่อการออกดอกมากกว่าปีที่แล้ว และในช่วงติดผลจะไม่กระทบกับสภาพฝนทิ้งช่วงเหมือนปีที่แล้ว ภาพรวมผลผลิตจึงคาดว่าเพิ่มขึ้นด้วย
เงาะ ปี 2568 เนื้อที่ให้ผล 173,104 ไร่ ลดลงจาก 179,126 ไร่ (ลดลง 6,022 ไร่ หรือร้อยละ 3.36) ผลผลิต 229,315 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 201,981 ตัน (เพิ่มขึ้น 27,334 ตัน หรือร้อยละ 13.53) ผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผล 1,325 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจาก 1,128 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้น 197 กิโลกรัมต่อไร่ หรือร้อยละ 17.46) โดยเนื้อที่ให้ผลรวมทั้งประเทศลดลง เนื่องจากแหล่งผลิตที่สำคัญทางภาคกลาง และภาคใต้ เกษตรกรโค่นต้นเงาะออก เพื่อปรับเปลี่ยนไปปลูกทุเรียนทดแทน อีกทั้งเงาะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวและผลตอบแทนจากการปลูกเงาะที่ไม่จูงใจ สำหรับผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลคาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ในช่วงปลายปี 2567 ที่มีฝนตกต่อเนื่อง ประกอบกับในปี 2567 แหล่งผลิตทางภาคกลางที่สำคัญ ปีที่แล้วสภาพอากาศแปรปวนเงาะออกดอกติดผลน้อย ทำให้ต้นเงาะได้พักต้นสะสมอาหาร ในปีนี้ต้นมีความสมบูรณ์ ส่งผลดีต่อการออกดอกติดผลได้มากขึ้น ผลผลิตจึงคาดว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
ลองกอง ปี 2568 เนื้อที่ให้ผล 144,425 ไร่ ลดลงจาก 152,252 ไร่ (ลดลง 7,827 ไร่ หรือร้อยละ 5.14) ผลผลิต 52,480 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 47,262 ตัน (เพิ่มขึ้น 5,218 ตัน หรือร้อยละ 11.04) ผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผล 363 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจาก 310 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้น 53 กิโลกรัมต่อไร่ หรือร้อยละ 17.10) โดยเนื้อที่ให้ผลทั้งประเทศคาดว่าลดลง เนื่องจากราคาลองกองที่ไม่จูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษามาอย่างต่อเนื่องหลายปี เกษตรกรจึงทยอยโค่นต้นลองกองที่มีอายุมาก และต้นลองกองที่ปลูกผสมกับพืชหลัก เช่น ทุเรียน เพื่อดูแลพืชหลักซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า สำหรับผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลคาดว่าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแหล่งผลิตสำคัญทางภาคใต้ ที่สภาพภูมิอากาศคาดว่าจะเอื้ออำนวยต่อการออกดอกและติดผลซึ่งช่วงปลายปี 2567 มีฝนตกต่อเนื่อง อีกทั้งปี 2567 ลองกองติดผลน้อย ทำให้ต้นได้พักต้นสะสมอาหารมีความสมบูรณ์พร้อมสำหรับออกดอกในปีนี้ ภาพรวมผลผลิตรวมจึงคาดว่าเพิ่มขึ้น
ลิ้นจี่ ปี 2568 เนื้อที่ให้ผล 78,692 ไร่ ลดลง ลดลงจาก 82,934 ไร่ (ลดลง 4,242 ไร่ หรือ ร้อยละ 5.11) ผลผลิต 36,451 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 13,952 ตัน (เพิ่มขึ้น 22,499 ตัน หรือร้อยละ 161.26) ผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผล 463 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจาก 168 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้น 295 กิโลกรัมต่อไร่ หรือร้อยละ 175.60) สำหรับเนื้อที่ให้ผลรวมทั้งประเทศลดลง เนื่องจากแหล่งผลิตในภาคเหนือ เกษตรกรโค่นต้นลิ้นจี่เพื่อปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และไม้ผลอื่น เช่น ทุเรียน อโวคาโด มะม่วง และเงาะ และแหล่งผลิตในภาคกลาง เกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่สวนลิ้นจี่เพื่อปลูกทุเรียนและมะพร้าวน้ำหอม สำหรับผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลคาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศในปีนี้เอื้ออำนวย อุณหภูมิหนาวเย็นต่อเนื่อง ส่งผลให้การแทงช่อดอกเพิ่มขึ้นและการติดดอกดีกว่าปีที่ผ่านมา แตกต่างจากในปีที่แล้วที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยอากาศหนาวเย็นเพียงช่วงสั้นๆ ไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ลิ้นจี่ออกดอก ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศในปีนี้คาดว่าเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวทางการบริหารจัดการไม้ผล ปี 2568 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กำกับดูแล และให้จังหวัดบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จด้วยตัวเอง ผ่านคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) โดยเน้นการบริหารจัดการเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. 2565 2570 ประกอบด้วย การบริหารจัดการเชิงคุณภาพ มีแผนงาน/โครงการ การจัดการและพัฒนาด้านคุณภาพผลผลิต เช่น ส่งเสริมการผลิตตามมาตรฐาน GAP และ GI การส่งเสริมการบริโภค ประชาสัมพันธ์ และการป้องกันผลผลิตด้อยคุณภาพออกสู่ตลาด รวมถึงการเชื่อมโยงการตลาดและเพิ่มมูลค่าผลผลิต การบริหารจัดการเชิงปริมาณ มุ่งเน้นการบริหารจัดการผลผลิตในฤดูกาล โดยจัดสมดุลอุปสงค์และอุปทาน การประมาณการผลผลิตล่วงหน้า สำรวจและจัดเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ และเชื่อมโยงตลาดเพื่อรองรับผลผลิต โดยจัดทำข้อมูลความต้องการทางการตลาดจากผู้ประกอบการ เช่น ผู้รวบรวม ผู้ส่งออก สหกรณ์ โรงงานแปรรูป และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ตลอดจนดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. 2565 2570 มีเป้าหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคา เพิ่มมูลค่าการส่งออกผลไม้สดและผลิตภัณฑ์แปรรูป และพัฒนาผลไม้คุณภาพที่ได้มาตรฐาน ประกอบด้วยแนวทางภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ได้แก่ 1) เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการผลไม้ในการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้าไม้ผล 2) พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดไม้ผลด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม 3) สร้างความเข้มแข็งและความเสมอภาคให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตร 4) บริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการผลิตผลไม้ครบวงจร และ 5) พัฒนาเครือข่ายการส่งออกและระบบโลจิสติกส์

ข่าว : ส่วนประชาสัมพันธ์
ข้อมูล : ศูนย์สารสนเทศการเกษตร และ สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร

---------

ทิศทางอนาคตผลไม้ไทยมุ่งเน้น .....

ยกระดับคุณภาพสู่มาตรฐานสากล (GAP, Organic), ขยายตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากจีน (ตะวันออกกลาง, อินเดีย), พัฒนาการแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่า, ใช้เทคโนโลยี เช่น Zoning, AI ช่วยพยากรณ์, และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การแข่งขันกับล้งต่างชาติ ผ่านการ สร้างความเข้มแข็งเกษตรกร (สหกรณ์, GI) และ กำกับดูแลการค้า เพื่อให้เกิดความยั่งยืน. 
แนวโน้มสำคัญ:
การตลาดและการส่งออก:เน้นตลาดใหม่: ขยายไปตะวันออกกลาง, อินเดีย, CLMV และตลาดที่มีคนเอเชียอยู่มาก.
บุกตลาดเชิงรุก: ผลักดันล้งไทยไปเปิดตลาดในจีนเพื่อรับรู้ราคาจริง.
เพิ่มการรับรู้: ใช้ทูตพาณิชย์, โปรโมทในต่างประเทศ.
จับตลาดสุขภาพ: รองรับความต้องการผลไม้ปลอดภัยและอาหารเสริม (เครื่องสำอาง).
การผลิตและคุณภาพ:มาตรฐาน GAP & Organic: บังคับใช้เข้มงวดเพื่อคุณภาพและความปลอดภัย, ตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability).
Zoning & GI: ผลิตตามเขตเหมาะสม (Zoning) และผลักดันผลไม้เป็นสินค้า GI (Geographical Indication).
เทคโนโลยี: ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการ, เพิ่มประสิทธิภาพ, ลดต้นทุน.
พัฒนาบุคลากร: ฝึกอบรมแรงงานให้มีทักษะสูง.
การจัดการปัญหาและโครงสร้าง:เสถียรภาพราคา: ควบคุมราคาไม่ให้ต่ำกว่าทุน, ส่งเสริมการบริโภคภายใน (ตามฤดูกาล).
แก้ปัญหาล้ง: กำกับดูแลให้แข่งขันได้, สนับสนุนล้งไทยให้แข็งแกร่ง.
ข้อมูล: พัฒนาระบบข้อมูลพยากรณ์ผลผลิตแม่นยำ.
สหกรณ์/วิสาหกิจชุมชน: เสริมสร้างความเข้มแข็งเพิ่มอำนาจต่อรอง. 
ความท้าทาย:
การผลิตสินค้าที่เหมือนกันมากเกินไป (Overproduction).
ความสามารถในการแข่งขันกับล้งจีนที่มีทุนหนา.
ต้นทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ (Synthetic Biology).
ความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค (เช่น ลำไยอบแห้ง). 
โดยสรุป ทิศทางอนาคตเน้นการปรับตัวสู่ คุณภาพ, ความยั่งยืน, และการพึ่งพาตนเอง มากขึ้น โดยมีเทคโนโลยีและนโยบายรัฐเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ.

-----------
 
 


Related Content
Coffee Knowledge, Useful of Coffee, History of Coffee
Coffee knowledge covers its origins (coffee cherries), types (Arabica, Robusta), processing (washed, natural), flavor profiles influenced by terroir (origin, soil, altitude) and roast (light, medium, dark), brewing methods, and cultural aspects, revealing how these factors create the complex tastes and aromas we enjoy, from fruity & floral to nutty & chocolatey. Key Aspects of Coffee Knowledge Coffee Origins & Plant: Beans come from seeds inside coffee cherries on the Coffea plant, grown in the "bean belt" between the tropics. Key species are Arabica (sweeter, popular) and Robusta (stronger, higher caffeine). Terroir & Processing: Flavor is shaped by region (e.g., Ethiopian fruitiness vs. Brazilian nuttiness), altitude, soil, and processing (drying beans inside the cherry vs. washing them). Roasting: Lighter roasts are brighter/acidic, medium roasts are balanced, and darker roasts are bolder/bitter; roasting develops deep brown colors and complex flavors. Tasting & Flavor: Coffee has sweet, sour, bitter, salty, and aromatic (floral, fruity, spicy, nutty, etc.) components, with sweetness often indicating careful processing. Brewing: Techniques like espresso, drip, or cold brew extract - Coffee is a beverage made from roasted, ground seeds of coffee cherries. Finland consumes the most coffee per capita. Brazil grows the most coffee in the world. -----
22 Dec 2025
Food Condiment , Thai Spice : Gift from Natural Product of Thailand
Thai condiments are vibrant, flavor-boosting additions like spicy-sweet Nam Jim Gai, all-purpose spicy Prik Nam Pla (fish sauce with chilies/garlic), savory Nam Prik Pao (chili jam), and tangy Nam Jim Jaew for grilled meats, adding balance (salty, sweet, sour, spicy) to dishes, much like salt and pepper in the West, with popular types including Sriracha, peanut sauce, and sweet chili. Popular Thai Condiments: Prik Nam Pla (or Nam Pla Prik): The quintessential all-purpose condiment, a simple mix of fish sauce, chopped chilies, garlic, and sometimes lime/sugar, adding salty, spicy, umami kick to anything. Nam Jim Gai: A sweet and sour chili sauce with garlic and vinegar, perfect for fried chicken and spring rolls. Nam Prik Pao: A complex, savory chili jam with roasted chilies, shallots, garlic, tamarind, and palm sugar, used in soups (like Tom Yum) and as a spread. Nam Jim Jaew: A smoky, tangy, spicy dipping sauce for grilled meats (Gai Yang), made with chili, lime, fish sauce, shallots, and toasted rice powder. Sriracha: While known globally, it's a staple, a spicy chili sauce often used on its own or as an ingredient. Sweet Chili Sauce (Nam Chim Kai): A widely loved sweet, tangy, and spicy sauce, great for fried items. Key Ingredients: Fish Sauce (Nam Pla): Salty, umami base. Chilies (Prik): Fresh (red/green) or dried for heat. Lime Juice: Adds essential sourness. Garlic & Shallots: Aromatic depth. Palm Sugar: Balances heat with sweetness. Tamarind: For sour/sweet notes. These condiments are crucial for achieving the balance of flavors—spicy, sour, salty, and sweet—that defines Thai cuisine.
18 Dec 2025
ข้าวไทย ของขวัญจากเกษตรกรไทย ส่งไกลยังตลาดโลก ข้าวไทยความพิเศษจากธรรมชาติ และ รสชาติดี (ข้าวประณีต)
ข้าวไทยมีความหลากหลายสูง เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ มีหลายประเภท เช่น ข้าวหอมมะลิ (หอม นุ่ม) ข้าวเหนียว (เหนียวหนึบ) ข้าวขาว (หุงง่าย) และข้าวเพื่อสุขภาพ (สีนิล, ไรซ์เบอร์รี่, สังข์หยด, ข้าวกล้อง) ซึ่งแต่ละพันธุ์มีคุณค่าทางโภชนาการ กลิ่น รส และสัมผัสแตกต่างกันไป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าวไทยผูกพันกับวัฒนธรรมประเพณีและเป็นมรดกทางอาหารของชาติ. ประเภทหลักของข้าวไทย ข้าวหอมมะลิ: มีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย นุ่ม (เช่น หอมมะลิ 105, หอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้). ข้าวเหนียว: สำหรับทำขนมและอาหารเหนียว (เช่น ข้าวเหนียวเขี้ยวงู, กข 6). ข้าวขาว: ข้าวเจ้าทั่วไปที่นิยมบริโภค (เช่น ข้าวเสาไห้, เจ๊กเชย). ข้าวเพื่อสุขภาพ/ข้าวไม่ขัดสี: มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่, ข้าวสังข์หยด, ข้าวสินเหล็ก, ข้าวหอมนิล, ข้าวกล้อง). ตัวอย่างสายพันธุ์ข้าวไทยยอดนิยม ข้าวหอมมะลิ 105: เมล็ดเรียวยาว หอม นุ่ม. ข้าวไรซ์เบอร์รี่: เมล็ดสีม่วงเข้ม คุณค่าสูง. ข้าวสังข์หยดพัทลุง: ข้าวกล้องสีแดง มีประโยชน์สูง. ข้าวเหนียวลืมผัว: ข้าวเหนียวดำ มีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย. ข้าวสินเหล็ก: มีธาตุเหล็กสูง ลดการอักเสบ. ข้าวเสาไห้: ข้าวเจ้าที่หุงขึ้นหม้อ นุ่ม.
17 Dec 2025
This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy and Cookies Policy
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy